วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เริ่มวิ่งใหม่อีกครั้ง มันยากนะ!!

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความสำเร็จ

ถ้าถามอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่า มีอะไรไหมที่สามารถเอาชนะแสงได้  แกจะตอบว่า "ไม่มีหรอก"

เช่นเดียวกัน ถ้าถามนักวิ่งสายขึ้เกรียจอย่างพวกเราว่า มีอะไรไหม ที่สามารถเอาชนะความขี้เกียจได้พวกเราก็จะตอบว่า "ไม่มีหรอก" เช่นกัน
ยิ่งเมื่อเราทำเป้าหมายสำเร็จ ก็เหมือนเราตกลงมาใน Comfort Zone ของตัวเราเอง มีแต่คนยินดี มีแต่คนชื่นชม ขนาดนอนยังเก็บเอาไปฝันเลย 

แต่จริงๆ แล้วมันคือ กับดักที่น่ากลัวที่สุด


(2015 albert einstein)

Source: http://img0.mxstatic.com/wallpapers/e48cbce976d36de2eaed51a810838fbe_large.jpeg
หยุดวิ่งไปนานมาก ถึงเวลาที่ต้องเริ่มต้นใหม่

หลังจากวิ่งที่งาน Seattle Marathon เสร็จ นี่ก็ผ่านมาร่วมๆ 3 อาทิตย์กว่าแล้ว อย่างว่าละครับ เมื่อวิ่งเสร็จ เป้าหมายสำเร็จ ความขึ้เกียจก็เข้ามาแทนที่ นอกจากนี้ อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์แห่งการสอบปลายภาค ซึ่งทั้งมีทั้งกำหนดส่งรายงาน สอนพิเศษ 

ดังนั้น ผมจึงขอสารภาพแบบแมนๆ ว่าผมแทบจะไม่ได้วิ่งเลย เป้าหมายที่เคยตั้งเอาไว้หลังจากวิ่งเสร็จก็เริ่มเลือนลาง ทบทวนเป้าหมายแล้วทบทวนอีก ยืดเป้าหมายออกไปแล้ว ยืดออกไปอีก

ในที่สุด มันก็ถึงเวลาที่ต้องออกมาจากหลุมดำแห่งความสำเร็จอีกครั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
"สึส"

กลับมาอีกครังที่ university of Illinois at Urbana Champaign

ตามธรรมดาที่เมื่อสอบเสร็จ ก็ต้องไปหา... คนรัก ซึ่งเมืองที่ผมจะมาเริ่มต้นใหม่นี้ ผมมาประมาณ 4-5 รอบแล้ว เดินมาจนครบแทบจะทุกซอกทุกมุม และผมก็เคยเขียนถึงไปแล้วอีกด้วย นั่นก็คือเมือง Urbana-Champaign


(2015 Urbana-Champaign) มาที่นี่รอบที่ 1 ล้าน TT

เอลนิญโญ่


ปกติ ที่เมืองแห่งนี้ ในฤดูหนาวประมาณเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวมาก ปีที่แล้วอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ 20 ถึง 30 องศาเซลเซียล นอกจากนี้ยังมีหิมะตกอย่างหนัก หนาขนาดที่ว่ารถวิ่งไม่ได้ ต้องเอาน้ำร้อนมาละลาย เลยทีเดียว


แต่ปีนี้ ผมมาถึงเมืองแห่งนี้ในเดือนธันวาคม แต่ ในปีนี้ (ปี 2016) ประเทศอเมริกาเกิดปรากฎการณ์เอลนิลโญ่ ทำให้อากาศที่ควรจะหนาวมากกลับไม่หนาว หิมะที่ควรจะตกก็ไม่ตก สรุปง่ายๆ ตอนนี้ อากาศกำลังดีมากๆ (-1 ถึงประมาณ 10 องศาเซลเซียล)

อากาศคงเป็นใจให้ผมเริ่มวิ่ง อีกครั้ง
โคดเข้าข้างตัวเอง

(2016 Urbana-Champaign) เริ่มวิ่งอีกครั้ง

เริ่มวิ่ง สิครับ รออะไร


ผมวิ่งไปตามเส้นทางเดิมจากที่วิ่งเมื่อ 4 เดือนก่อน (ก่อนผมกลับไป Seattle) จะต่างก็เพียง บรรยากาศข้างทาง จากในช่วงฤดูร้อนที่ต้นไม้ เขียวขจี กลับเป็นต้นไม่ที่ไม่มีใบเลย รวมทั้ง จำนวนคนที่มาเดินเดิน วิ่งเล่นก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด  


ส่วนแฟนที่น่ารักก็ปั่นจักรยานไล่กวดตามเดิม

อะไร อะไร ก็ไม่พร้อม

แค่วิ่ง 3 กิโลเมตร ก็หอบมากแล้ว จากปกติที่ซ้อมมากกว่า 20 กิโลเมตร เป็นประจำ  นอกจากนี้ แค่วิ่งไปนิดๆ หน่อยๆ ก็ปวดเมื่อย เมื่อขา เมื่อยเข่า จะเป็นจะตาย กลับกลายไปเป็นนักวิ่งมือใหม่อีกครั้ง

ฮ่า ฮ่า ฮ่า 
หัวเราะให้กับความกระจอกของตัวเอง

รองเท้าก็เอากับเขาด้วย

รองเท้าวิ่งประจำกายของผมคือ Asics Nimbus 17 เพื่อนๆ บอกว่าเป็นรองเท้าที่ดีมาก แต่สำหรับผมองเท้าคู่นี้เป็นเหมือนม้าผยศ มันเป็นตัว Top ของ Asics แต่ใส่แล้วผมกลับเจ็บฝ่าเม้ามากๆ ตั้งแต่ตอนที่เข้าร่วมวิ่งมาราทอน ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงเจ็บอยู่ 

ผมเคยเชื่อว่า มันแค่จะยังไม่เข้ากับเท้าเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นรองเท้าใหม่ แต่วันนี้มันกลับมาทำร้ายผมอีกครั้ง 

แต่ผมยังคงเชื่อมั่นในรองเท้าคู่นี้อยู่นะ (แพงน่ะว่อยยย ไม่อยากซื้อใหม่)


(2015 Asics Nimbus 19) 
Source: http://www.zappos.com/images/z/2/9/9/6/7/2/2996723-p-2x.jpg

สุดท้ายผมก็ต้องหยุดวิ่งที่ประมาณ 5 กิโลเมตร
พรุ่งนี้เอาใหม่ เราจะไม่ยอมแพ้ อิอิ

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

First marathon: Seattle Marathon

สักครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องลอง "วิ่งมาราทอน"!!!

วันนี้ (Nov 29) ย้อนกลับไป 1 ปี (2014) เป็นวันที่เข้าร่วม Seattle Marathon เป็นครั้งแรก แต่เป็นการวิ่งระยะสั้นมาก (ขอเรียกว่า ระยะเด็กน้อย) คือ 5 กิโลเมตร  ซึ่งตอนนั้นยังต้อง วิ่งบ้างเดินบ้าง ก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว ดังนั้น 1 ปีที่ผ่านมานี้ จึงพูดได้เต็มปากว่า การวิ่งของผมพัฒนาไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ปีนี้ช่างเป็นปีทองของการวิ่งจริงๆ อิอิ
งานที่ผมเลือกมา Debut ก็คืองาน Seattle Marathon ในเมือง Seattle รัฐ Washington สาเหตุที่ผมเลือกมา Debut ที่นี้ ก็ง่ายๆ ครับ ผมมาเรียนที่นี่ อิอิ เมืองนี้ อยู่ทางตอนเหนืองของประเทศอเมริกา อยู่ฝั่น West Time Zone ของที่นี้ช้ากว่าไทยประมาณ 13-14 ชั่วโมงเอง (ขึ้นอยู่กับฤดู ถ้าเป็นฤดูหนาวทางอเมริกาจะปรับเวลาให้เร็วกว่าเดิม 1 ชั่วโมง) สารภาพแบบลูกผู้ชายครับ ทำไมผมถึงมาเรียนที่นี่ ก็เพราะ ผมเข้าใจว่ารัฐ Washington หมายถึง Washington DC พึงจะรู้ตอนที่ กพ จองตั๋วเครื่องบินมาให้
ผมนี่งงเลย
(2015 Seattle) เมือง Seattle รัฐ Washington (มุมซ้ายครับ) อย่าไปผิดไป DC นะ 555+
สำหรับเส้นทางวิ่งของ Seattle Marathon ก็ง่ายๆ ครับ วิ่งรอบเมืองนั่นเอง อิอิ อย่างไรก็ตามครับ วิ่งที่นี่ค่อนข้างจะดีตรงที่ ปิดถนน ก็คือปิดจริงๆ ไม่มีรถจอดข้างทางหรือต้องหยุดรอให้รถผ่านเลย มันเลยทำให้นักวิ่งรู้สึกปลอดภัย และไม่ต้องกังวล
ในงานวิ่ง เรานักวิ่งเป็นใหญ่ครับ ฮ่าาาาา (มันก็ควรต้องเป็นเช่นนั้น)
(2015 Seattle) เส้นทางวิ่งของ Seattle Marathon
Source: http://www.gannett-cdn.com/












 จากรูป เพื่อนๆ จะเห็นว่า มีการวิ่งข้ามทะเลสาบไปยังเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั่นชื่อว่า Mercer island เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยบ้านราคาแพงมาก เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ในเมืองครับ ที่สำคัญ เกาะแห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของบ้านบุคคลสำคัญของโลกท่านหนึ่ง ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คนที่รวยที่สุดในโลก ลองทายดูสิครับว่าเป็นใคร
ถูกต้องครับ...บิล เกตส์
ว่าด้วยค่าสมัคร 
ปวดใจสุดๆ 
พูดถึงค่าสมัครวิ่ง มันเป็นอะไรที่ปวดใจมากๆ ค่าสมัครที่ USA มันก็ใช้ค่าเงินสกุล US ครับ ค่าสมัครเฉลี่ยประมาณ 100 ครับ ไม่ใช่บาทนะ เหรียญจร้าาา ลองคูณ 35 บาท ดู ก็ตกราวๆ 3,500 บาท เด็กทุนอย่างผม $100 ก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ กพ ให้มาใช้เดือนละ $1,400 ค่าห้องก็ขั้นต่ำ แบบประหยัดสุดๆ ก็ $600-$700 แล้ว
ยิ่งการวิ่งใหญ่ของเมือง หรือของรัฐค่าสมัครจะแพงกว่าปกติครับ เช่น ที่ LA ค่าสมัคร แบบปกติ ก็ เกือยๆ $200 ที่จริงผมก็วางแผนจะไปนะ
แต่ไม่มีเงิน 555+
อย่างไรก็ตาม งานวิ่งต่างๆ มักจะลดราคาค่าวิ่งสำหรับคนที่สมัครเร็ว (ลดไปเยอะเหมือนกันนะครับ) เช่น ถ้าผมสมัคร งานนี้เร็วกว่านี้ 6 เดือน ค่าสมัครผมจะอยู่ที่ประมาณ $80-$90 เท่านั้น สำหรับ คนที่สมัครแล้วกลัวบาดเจ็บ ก็สามารถซื้อประกันเพิ่มในกรณีวมัครแล้วไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ครับ ดังนั้น ทางที่ดี ถ้าจะมาวิ่งที่ USA ต้องวางแผนล่วงหน้า และสมัครให้เร็วครับ 
สำหรับคนที่เพิ่งจะลงวิ่งมาราทอนเป็นครั้งแรก วันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต (ที่จริงคงมีที่ตื่นเต้นมากกว่ามั้ง) ก็ผมเองก็ไม่ได้กะมาเดินเข้าเส้นชัยหรอกนะ เตรียมตัวมาประมาณ 5 เดือน รวมทั้ง จ่ายค่าสมัครที่แพงแสนแพงซึ่งผมไม่ได้ซื้อประกันกรณีที่ไปวิ่งไม่ได้เอาไว้
ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามสาย
(2015 Seattle) ผมพร้อมแล้ว
มันนนนนน หนาวววววววว มากกกกกก
ผมเองเกิดบริเวณแถวๆ เส้นศูนย์สูตร
ผมเก่งกับความร้อน แต่ผมไม่เก่งกับความหนาวเลย  แต่เมื่อมาวิ่งที่นี่ (เมืองที่อยู่ทางด้านหนือของประเทศอเมริกา) ดังนั้นอากาศจึงค่อนข้างโคดดดดดเย็น อุณหภูมิประมาณ 4-6 องศาเซลเซียล มันก็ทรมาณนะครับ แม้จะใส่ชุดวิ่งที่เป็นเสื้อแขนยาว และกางเกงขาว รวมทั้งถุงมือและหมวกไหมพรม แต่มันก็ยังคงหนาวจนถึงขั่วหัวใจ ยิ่งเฉพาะเวลาที่ลมพัด อยู่ดี
ปกติชุดที่ผมใส่ปกติหากไม่วิ่งอย่างน้อยๆ ต้องมีเสื้อ Jacket ที่เป็นเสื้อขนเป็ด แล้วต้องใส่เสื่อไหมพรมข้างไหนอีกชั้นครับ ดังนั้นใครจะมาเที่ยวที่นี่ฤดูหนาว ต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ ครับ
หนาว แต่ก็นะ มันเป็นเมืองที่สวยมาก (Trade off)
(2015 Seattle)
Source: http://centered.org/meetup/seattle/
ขอนิดหนึ่งครับ ตามความเห็นผมนะ เมืองนี้สวยมากครับ ยกเว้น Downtown กับ บริเวณรอบๆ มหาวิทยาลัย University of Washington เนื่องจากเป็นบริเวณที่แอบแออัด คนไร้บ้านเยอะ ซึ่งผมไม่แยะนำให้ไปเดินในช่วงตอนกลางคืนครับ
เพื่อนๆ นักวิ่ง
จากสถิติที่ผ่านมาของประเทศอเมริกา คนทั่วๆ ไปหันมาสนใจเข้าร่วมวิ่งมาราทอนกันเพิ่มมากขึ้นครับ ซึ่งก็สอดคล้องกับ ผู้ที่เข้าร่วมวิ่งงานนี้ เท่าที่สังเกตุด้วยตา และจากการที่พิธีกรถาม ส่วนใหญ่กว่า 80% เคยวิ่งมาแล้วทั้งนั้น แต่ละคนดูแต่งตัวจริงจังมาก วอร์ม กันแบบเป็นกิจลักษณะ
กลัวที่ไหน
ผมแค่สั่นๆ ครับ แต่ก็อย่างว่าละครับ การวิ่ง คือการแข่งกับตัวเอง เป้าหมายการวิ่งครั้งแรกของผมชัดเจนก็แค่ เข้าเส้นชัยให้ได้ ไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับคนอื่นๆ (รอรายการต่อไป ค่อยทำเวลา)
(2015 Seattle) นักวิ่งรายอื่นๆ 
ออกวิ่งสิครับจะรออะไร อิอิ
ใจจริงๆ อยากวิ่งทำความเร็วนะ แต่ผมไม่ไหวจริงๆ ตอนซ้อมลองแล้ว ผมว่าช่วงนรกที่สุดคือช่วงที่ประมาณ 30 km  มันวิ่งก้าวขาก็ไม่ออก หากวิ่งทำความเร็วมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น กลยุทธการวิ่งของผมที่ผมเตรียมมาก็คือ 6 7 8 9 หรือ 6 min/ km ในช่วง 10 กิโลเมตรแรก 7 min/km ในช่วง 10 กิโลเมตรต่อมา 8 min/km ในช่วง 20 ถึง 30 กิโลเมตร จากนั้น ผมคิดว่าผมคงต้องเดิน ด้วยความเร็วประมาณ  9 min/km ในช่วงที่เหลือ
มีหลายๆ คนถามว่าวิ่งความเร็วเท่าไหร่ถึงจะดี ถ้าเอา Boston Qualifier มาเป็นเกณฑ์ คุณต้องวิ่งให้ได้ระยะมาราทอนภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง  5 นาที ครับ หากต้องการที่จะผ่านเกณฑ์ หรือถ้าเป้าหมายคุณต้องการเป็นแชมป๋ รายการปกติ รายการใดรายการหนึ่ง (ที่ไม่ใช่ระกับโลก) ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง หรือ ถ้าต้องการทำลายสถิติโลก ก็ต้องให้ได้ประมาณ 2 ชั่วโมงเองครับ
แหะ แหะ แหะ
และแล้ว เมื่อเสียงปล่อยตัวดังขึ้น ผมไล่กวด Pacer 3 ชั่วโมง 30 นาที ทันที (ทำเก๋า)
(2015 Seattle)
Source: http://isc01.gradimages.com/












เห้ย วิว!! 

ช่วงที่ผมชอบที่สุดในการวิ่งก็คงจะเป็นการได้วิ่งขึ้น Floating bridge สะพานนี้เป็นส่วนหนึ่งของถนน I-90 เพื่อเชื่อมไปยังเกาะ Mercer island 
ต้องบอกเลยครับว่า วิวสวยมาก  หากมองที่ระดับสะพานจะเห็นน้ำในทะเลสาบระดับเดียวกับสะพานเลย เหมือนกับว่าเราวิ่งอยู่บนผิวน้ำก็ไม่ปาน
(2015 Seattle) เราวิ่งข้าม ถนนนี้แหละครับ (I-90) แต่กล้อมผมถ่ายไม่สวย เลยขอใช้รูปนี้แทน







สะพานนี้ ก็เป็นจุดแรกที่ผมเริ่มพัก 555+
แน่นอนครับ วิ่งด้วยความเร็วขนาดนั้น สำหรับนักวิ่งที่เพิ่งจะลงรายการวิ่งมาราทอนครั้งแรก ยังไงก็หมก ดังนั้น 10 กิโลเมตรต่อมา ผมจึงฉลอความเร็วลดลง จนจบระยะ Half marathon ด้วย ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที ซึ่งก่อนเข้าเส้นชัย Pacer 4 ชม ก็เพิ่งจะวิ่งแซงผมไป ตอน 10 นาที ที่แล้ว
(2015 Seattle)
Source: http://cdn.tegna-tv.com/


เมื่อวิ่งผ่านช่วงสะพานออกมา ก็จะเป็นช่วงวิ่งเรียบทะเลสาบ บริเวณนี้หมอกลงค่อนข้างหนา รวมทั้งมีลมกรรโชกค่อนข้างแรง อากาศที่ค่อนข้างหนาว ยิ่งวิ่งริมทะเลสาบ เห็นหมอกลอยเหนือน้ำเลยครับ ลมพัดที่ก็ยิ่งหนาว
(2015 Seattle) หมอกลง
รองเท้าคู่ชีพ ออกฤทธ
สำหรับงานวิ่งงานแรกนี้ ผมได้มีโอกาสใช้รองเท้าวิ่งคู่ใหม่ Asics Nimbus 17 ที่ผมเพิ่งจะซื้อมาก่อนวันวิ่งเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น เนื่องจากวันก่อนวันวิ่งเป็นวันที่เรียกว่า Black Friday เป็นวันที่สินค้าถูกที่สุด ปกติราคา Asics Nimbus 17 จะอยู่ที่เกือบๆ $130 + Tax แต่ ผมซื้อมาในราคาแค่ $80 รวมทุกอย่างแล้ว
ใส่รองเท้าวิ่งที่ไม่เคยใส่ไปวิ่งงานใหญ่ ห้ามทำตามผมนะครับ
รองเท้าคู่ใหม่ของผมก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ เอาจริงๆ ก็โทษรองเท้าไม่ได้หรอก แน่นอนว่าเท้าผมย่อยยังไม่ชินกับรองเท้าคู่นี้
วิ่งไปเจ็บฝ่าเท้าไป
(2015 Seattle) กัดฟันสู่ 10 กิโลเมตร สุดท้าย
การวิ่งย่อมมีมิตรภาพ เพื่อนๆ นักวิ่งเมื่อเห็นเราวิ่งแปลกๆ ก็มักถามสารทุกสุขดิบ หรือมีคนที่วิ่งแล้วเจ็บ คนอื่นๆ ก็มาถาม มาดูแล ตลอด
Pacer มาแว้วว
หลังจากผ่านระยะ Half Marathon  ในช่วงนี้ต้องวิ่งบ้างพักบ้างแล้ว จนมาถึงจุดเตือนระยะทาง 30 กิโลเมตร ซึ่งเขาว่าเป็นช่วงการวิ่งที่โหดที่สุด พลังก็กำลังจะหมด
แมร่งคนถือป้าย Pacer 4.30 ก็วิ่งตามหลังมาแต่ไกล
ผ่าน 30 กิโลเมตรมาแล้ว โดยผมยังวิ่งอยู่ได้เท่ากับว่า ผมทำสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้แล้ว ถ้าเดินอีก 10 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผมก็จะยังคงเข้าเส้นชัยทันตามที่กำหนดที่ 6 ชั่วโมง
ยอมรับแบบแมนๆ เลยครับว่า วินาทีนั้น ต้องเดินแล้ว ถ้าคลานได้คลานไปแล้ว คือวิ่งบนถนนมันต่างจากวิ่งในยิมที่อุณหภูมิค่อนข้างคงที่ อากาศไม่หนาวไม่ร้อน และที่สำคัญพื้นไม่สูงบ้างต่ำบ้าง ณ จุดที่ผมเริ่มเดินนี้ ผมเริ่มเห็นคนจำนวนมาก แซงผมไปเรื่อยๆ
ช่างเขาเถอะ!!!
โค้งสุดท้ายสู่เส้นชัย
5 กิโลเมตร ที่เคยคิดว่าหมู มันไม่หมูนะ
ผมเริ่มหยุดยืนบาง ขามันก้าวไม่ออกจริงๆ ครับ แอบคิดจะยอมแพ้เหมือนกัน มันทรมาณจริงๆ ณ จุดนั้น
ในที่สุด ก็เข้าสู่ช่วง 5 กิโลเมตรสุดท้าย มันคือความมหาโหด ขาที่หมดแรงจนตะคิวจะขึ้น เจอเนินสูงอีกครั้งสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย
ถามว่าเนินสูงสูงแค่ไหน Seattle เป็นเมืองที่อยู่ฝั่งตะวันตกของประเทศอเมริกา ถ้าเรียนภูมิศาสตร์มาจะพบว่าทางนี้เป็นภูเขาหินใหม่ ซึ่งภูเขาหินใหม่ยังไม่ผ่านการกัดกร่อนของดิน มันจึงสูงกว่าภูเขาหินเก่า
วิชาการมาเต็ม แต่ไม่เกี่ยว
(2015 Seattle) นักวิ่งคนอื่นๆ ผมไม่รู้จัก
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ โทรหาแฟนผม คุยไปวิ่งไป มันคงทำให้ลืมเหนื่อย ลืมเจ็บขาได้ดีทีเดียว โดนไถตังซื้อเกมส์ไป $20 สิครับ ค่าคุย แต่ก็คุ้มครับ ผมสามารถลืมความเหนื่อย ความเจ็บขา จนลากสังขารเข้าเส้นชัยได้ ถ้าไม่ได้แฟนที่น่ารัก (โคดๆ) คุยเป็นเพื่อน ผมไม่สามารถเข้าเส้นชัยได้แน่ๆ
(2015 Seattle) ใกล้เส้นชัย
นี่แหละครับ วินาทีเข้าสู่เส้นชัย มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกทั้งหมด ในขณะเดียวความตื่นเต้นที่จะเริ่มคิดถึงงานวิ่งงานใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ไม่รู้ว่าจะให้คำบรรยายยังไงดี ทรมานสุดๆ แต่ตอนเข้าเส้นชัย ดีใจสุดๆ แบบ แทบอยากจะร้องให้เลย ความคิดในหัวตอนนั้นก็ถามตัวเองนะว่า กรูเสียเงินไปทำไม ทรมาณสุดๆ อากาศก็หนาวมาก มาตากลม แต่พอเข้าเส้นชัยเท่านั้น
ทำได้ ทำได้ ทำได้ว่อย มันก็สะใจตัวเองนะที่เราทำได้
(2015 Seattle) ก้าวสู่เส้นชัย

นอกเรื่องละ
สุดท้ายนี้ ผมขอมอบการวิ่งครั้งนี้ ให้กับคนที่ลาก ผมไปซื้อรองเท้าวิ่ง คู่แรก พาไปวิ่งครั้งแรก แต่แม่เจ้าพระคุณดันขี้เกรียจวิ่ง ไม่ค่อยวิ่งไปเสียแล้ว แต่ก็นะ ผมชอบเวลาที่วิ่งกับแม่เจ้าพระคุณของผมที่สุดละ วิ่งไปโดนด่าไป 555+ 

(2015 Seattle) Love story
หลังจากการวิ่งครั้งนี้ ผมตั้งเป้าจะลุยให้ได้ 5 มาราทอน ทั่ว อเมริกา ก่อนกลับไทยขอวิ่งให้ได้ และต้องวิ่งให้เสร็จภายใน 3 ชม เพื่อ Qualify Boston marathon!!!!
 

หน้าตาของเหรียญ เป็นแบบนี้ครับ


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

2 เดือนสุดท้าย สู่ Seattle Marathon !!!

2 เดือน ก่อน Seattle Marathon: ซ้อมวิ่งกลางสายฝน

ขณะที่ เป็นเดือนตุลาคม ผมเพิ่งกลับมากจากรัฐ Illinois เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่ผมกำลังเรียนอยู่เปิดเทอม สิ่งแรกที่ต้อนรับเมื่อผมกลับมาถึงเมืองเลยก็คือ "ฝน" เท่านั้นไม่พอ ฝน ยังตกต่อเนื่องในอีกอาทิตย์ต่อมา ในฐานะที่ผมชื่นชอบการวิ่งอย่างมากถึงมากที่สุด ไม่ว่าฝนจะตกแต่ไหนอย่างไร ผมก็ต้องไปวิ่ง

ผมมีเส้นทางที่วิ่งประจำอยู่ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเรียบทะเลสาบ เส้นทางนี้ทางรัฐบาลเมือง ได้สร้างไว้เพื่อเป็นทางจักรยานและทางวิ่งเท่านั้น ปกติผมจะวิ่งเวลาประมาณ 18.00 น โดยจะวิ่งประมาณ 15-20 กิโลเมตร

แน่นอนครับ บ่อยครั้งที่วิ่ง ฝน จะตก หนักบ้างเบาบ้าง แต่ก็เรียกว่าตก แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฝนจะตก หรือลมจะแรงแค่ไหน ก็ยังจะเห็นคนออกมาวิ่งเป็นจำนวนมาก ทำให้การวิ่งไม่น่าเบื่อ ตรงกันข้าม ผมมีแรกกระตุ้นให้วิ่งประจำอีกด้วย

ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ทางวิ่งเส้นนี้เต็มไปด้วยต้น Maple และต้นไม้ผลัดใบอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในช่วงฤดูใยไม้ร่วงนี้ เราจะเห็นแต่ต้นไม้สีแดงตลอดเส้นทางครับ ผมว่าสวยมาก และน่าสนใจมากกว่า สถานที่ท่องเที่ยว อาทิ Star bug สาขาแรก หรือ ตลาด Pike Market อีก ดังนั้น หากเพื่อนมาเมืองนี้ ต้องมาวิ่งที่เส้นทางนี้นะครับ

บางครั้ง ผมก็เปลี่ยนเส้นทางวิ่งบ้าง โดยวิ่งจาก University of Washington ไปยัง Downtown เส้นทางนี้ก็สวยนะครับ แต่เป็นอารมณ์วิ่งผ่านชุมชน

Source: http://static1.1.sqspcdn.com/static/f/1332302/24208286/1389730391283/seattle-rain.jpg?token=rtE6w0jvErok10QweEWeh2E3psg%3D
1 เดือน ก่อน Seattle Marathon: ซ้อมน้อย บาดเจ็บ!!

วันนี้ คือวันก่อนวิ่ง 10 วัน อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้ซ้อมเลย เรียนหนักมาก นอกจากเรียนยังทำงาน Part time ไปด้วย ทำให้เวลาซ้อมน้อยมากๆ อย่างไรก็ตาม ผมพยายามที่จะวิ่งให้ได้อาทิตย์ละอย่างน้อย 2 วัน โดยเป็นวิ่งระยะไกล 1 วัน

หนาวไม่ไหวแล้ว เลยต้องวิ่งในยิม: สิ่งหนึ่งที่ ทำให้ผมวิ่งได้น้อยก็คืออากาศที่เริ่มจะหนาว เพราะอากาศหนาวทำให้วิ่ง ข้างนอกไม่ได้ต้องวิ่งเฉพาะในยิมเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเลิกเรียน ผมจึงต้องกลับบ้านก่อนเพื่อมาเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไป ทำให้เสียเวลามากๆ นอกจากนี้ เมื่อกลับบ้าน บ้านมันอุ่นกว่าข้างนอกเยอะ เอาจริงๆ มันสบายกว่า บางครั้งก็เลย ขี้เกียจ

เข่า เริ่มีปัญหาเล็กน้อย: ผมรู้สึกเริ่มปวดเข่า หลังจากเสร็จการวิ่งระยะไกล 2 อาทิตย์ก่อนการแข่งข้น มันไม่ได้เจ็บมาก แต่ทำให้รู้สึกลำคาญบ้าง อารมณ์กวนใจเวลาวิ่งมากกว่า

โดยรวม เดือนสุดท้ายก่อนวิ่ง มันช่างเป็นเดือนที่เต็มไปด้วยอุปสรรค์จริง

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

3 เหตผล ที่วิ่งลู่ก็มันดีนะ!!!

เมื่อก่อน ผมคิดว่าการวิ่งบนลู่วิ่งตามฟิตเนส มันคงจะน่าเบื่อ ดังนั้น ผมจึงพยายามหลีกเลี่ยงการวิ่งบนลู่วิ่งมาตลอด แต่เนื่องจากเมืองที่ผมมาเรียนต่ออากาศค้อนข้างหนาว โดยเฉพาะในฤดูหนาว ทั้งหนาว ทั้งฝนตก ยิ่งไปกว่านั้นเวลามืดเร็วอีกต่างหาก กว่าผมจะเรียนเสร็จ ทำงานพิเศษต่อเสร็จก็มืดพอดี ในที่สุด ผมก็คิดว่า เอาว่ะ วิ่งบนลู่ดีกว่าไม่ได้วิ่งเลย และผมก็ค้นพบว่าแม้มันจะสู้การวิ่งรอบเมืองแบบที่ผมชอบไม่ได้ แต่ "มันก็โอเค"
Source: http://www.hoteliermiddleeast.com/pictures/HME/gym-3-web.jpg

วิ่งเมื่อไหน่ก็ได้ ถ้ายิมไม่ปิด
ผมเป็นคนหนึ่งที่ทำงานหลายงาน ทั้งงานประจำ งานเสริม และก็วิ่งเป็นงานอดิเรก กว่างานจะเสร็จ ก็ 2-3 ทุ่ม แล้ว การจะออกไปวิ่งตามถนน ก็ค่อนข้างจะอันตราย ทั้งรถ ทั้งโจร ทั้งอากาศหนาว บางครั้งมันทำให้ความอยากวิ่งหายไป ผมจึงเปลี่ยนมาวิ่งในโรงยิมแทน กว่าโรงยิมจะปิด ปกติก็ค่อนข้างดึก มีเวลา 3-4 ชั่วโมง ให้วิ่ง

ความเร็วที่คงที่
การวิ่งบนลู่ เราสามารถควบคุมความเร็วได้ตามที่ต้องการ ในขณะที่การวิ่งบนถนน บางครั้งเราก็ขี้เกียจ ช้าบ้างเร็วบ้าง ทำให้ Peace การวิ่งไม่สม่ำเสมอ

เอา Tablet มาดูละครไปด้วย
อันนี้เป็นความสนุกส่วนตัว ช่วงที่ผ่านมา ผมติดละครเกาหลี กับการ์ตูนชินจัง ถ้าไม่ได้ดูมันกระวนกระวาย 555+ หรือเพื่อนๆ ที่ต้องติดตามข่าวสาร ฟังติวเตรียมสอบ หรืออ่านหนังสือ ก็ทำได้ครับ อิอิ เป็นการใช้เวลาได้คุ้มค่าทีเดียว

โดยรวม ผมชอบวิ่งบนถนนจริงๆ มากกว่า แต่วิ่งในยืม ก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด

ใครว่าอุปกรณ์การวิ่งไม่สำคัญ

ตอนที่เขียนบทความนี้ ผมพึ่งกลับมาจากไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่มาพอดี เนื่องจากคู่เก่า (Nike Flex 2014) ใช้วิ่งมามากกว่า 700 กิโลเมตร ถ้ารวมใส่เดินอีก ก็คงเกือบๆ 1,000 กิโลเมตร มันก็คงต้องเปลี่ยนบ้างเพื่อความปลอดภัยของเท้าและหัวเข่า
(2015 Seattle) ประเดิม รองเท้าคู่ใหม่ Brooks Transcend
รองเท้าวิ่งก็เหมือนกระบี่ ครับ หากนักรบกระบี่ที่ดี เขาก็มีโอกาสที่จะชนะมากขึ้น นักวิ่งอย่างเราๆ ก็เช่นกัน หากมีอุปกรณ์ที่ดี โอกาสที่จะเอาชนะเป้าหมายของตัวเองก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าถามว่า สำหรับผู้ที่เริ่มวิ่งใหม่ๆ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ทุกๆ อย่าง อย่างดี ครบตั้งแต่ครั้งแรกหรือไม่ อาจจะไม่จำเป็น ก็แน่ละครับ อุปกรณ์ดีๆ ราคาไม่ใช่ถูกๆ กว่าจะซื้อครบผมว่าใช้เงินเกินหมื่น มันจะทำให้ความตั้งใจวิ่งหมดลงก่อน

ผมจะรองเรียงลำดับว่าอุปกรณ์ใดควรซื้ออย่างดีก่อนหรือหลัง และควรชื้อในช่วงไหน อันนี้เป็นความเห็นของผมคนเดียวนะครับ (ขอย้ำไว้ก่อน) ไม่มีการวิจัย หรือข้อมูลทางการแพทย์รับรอง อันนี้มาจากประสบการณ์ของผมล้วนๆ หากผิดพลาดหรือเพื่อนๆ นักวิ่งมีข้อมูลที่ดีกว่า ผมดีใจอย่างมากถ้าเพื่อนๆ จะแชร์ให้ผมฟังนะครับ ^^

ลำดับหนึ่ง "รองเท้า"
ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน รองเท้าวิ่งถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับการวิ่ง ถ้าเท้า ขา และหัวเข่า มีปัญหา ยังไงก็วิ่งไม่สำเร็จ ดังนั้น หากเพื่อนๆ จะวิ่งไม่ว่า 3, 5, 10, 20 หรือ 40 กิโลเมตร ลงทุนเถอะครับ สุขภาพสำคัญกว่าเงิน

ลำดับที่สอง "เสื้อ" 
สำหรับนักวิ่งผู้หญิงคงไม่มีปัญหา แต่สำหรับนักวิ่งชาย ลักษณะของผ้ามีผลอย่างมาก ไม่เพียงแค่เรื่องของเหงื่อ แต่ยังมีผลต่อการเสียดสีของร่างกายอีกด้วย 
ผมเองเคยชื้อเสื้อคล้ายๆ เสื้อตาห่านมาใส่วิ่ง (ผมซื้อยี่ห้อ Nutrica) เสื้อที่ว่านี้ เป็นเสื้อใส่ซับข้างใน เวลาใส่เสื้อทำงาน แต่ผมซื้อมาใส่วิ่ง ซึ่งก็ผิดประเภท ตอนที่วิ่ง ระยะ 3-5 กิโลเมตร ผมไม่ได้รู้สึกแตกต่าง ระหว่างเสื้อดังกล่าวกับ เสื้อกีฬา จนถึงระยะ Half Marathon ผมสังเกตว่ามีเลือดออกที่หัวนม เห้ย ผมตกใจมากตอนแรก กลัวเป็นมะเร็งเต้านม 555+ จากนั้นก็ไปหาข้มูลใน Google ดู ซึ่งก็พบว่า เกิดจากเสื้อผ้าที่ใส่ไปเสียดสีกับหัวนม ดังนั้น หากวิ่งมาถึงในระดับหนึ่ง เสื้อต้องเป็นผ้ากีฬา เท่านั้นครับ

ลำดับที่สาม "โทรศัทพ์ หรือ GPS"
เวลาวิ่ง ในปัจจุบัน เรามักจะบันทึกการวิ่งด้วย GPS จากโทรศัทพ์  และเช่นกัน GPS ใน โทรศัทพ์ เป็นอีกปัญหาที่อาจจะทำให้หงุดหงิด เพราะมันทำให้แบตของโทรศัทพ์หมดเร็วเหลือเกิน ผมเองใช้โทรศัทพ์ที่ไม่ใช่รุ่นท้อป เวลาซ้อมวิ่งระยะ Marathon ทีไร แบตหมดก่อนทุกที 

สำหรับกางเกง ผมใส่กางเกงบอล จากที่วิ่งมา ผมยังไม่เจอปัญหาครับ เลยยังขอไม่พูดถึง ^^

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิ่งอย่างมีเป้าหมาย SMART

มีคนมักถามว่าทำอย่างไรจะวิ่งระยะไกล หรือแม้กระทั่งมาราทอน คำตอบไม่ใช่ท่าวิ่ง วิธีการหายใจ หรือการลงเท้าตอนวิ่ง ทั้งหมดทั้งปวงมันอยู่ที่ "การตั้งเป้าหมาย" เป้าหมายเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า เราทำสำเร็จหรือไม่ เช่น ลองย้อยกลับไปสมัยเรียน เราต้องทำคะแนนให้ได้ตามเป้าหมายเพื่อที่จะได้เลื่อนชั้น ในโลกธุรกิจ นักธุรกิจ พ่อค้าต้องตั้งเป้าหมายกำไรของธุรกิจ หรือในระดับชาติ ผู้บริหารประเทศต้องตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ต่อหัวของประชากร เป็นต้น หากตั้งเป้าหมายได้ดี โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ผมว่าน่าจะเกินครึ่งแล้ว

เป้าหมายที่ดีต้อง SMART

เนื่องจากผมจบสายเศรษฐศาสตร์ ผมจึงมีวิธีการง่ายๆ ที่ใช้ตั้งเป้าหมายของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถประยุกต์เข้ากับการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังครับ วิธีการดังกล่าวเรียกว่า SMART หรือ S.M.A.R.T.

S: Specific เป้าหมายต้องมีความชัดเจน

การตั้งเป้าหมายที่กว้าง และมีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน จะยากในการปฎิบัติตามและประเมินผล เนื่องจากในที่สุดแล้ว ตั้งเป้าหมายก็เหมือนไม่ได้ตั้ง สุดท้ายแม้แต่คนที่ตั้งเป้ามายเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เช่น การตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดในโลก มันกว้างมากจนเราเริ่มต้นปฎิบัติตามไม่ถูก

เป้าหมายของของผม คือต้องเข้าเส้นชัยของการวิ่งมาราทอน ระยะทาง 41.195 กิโลเมตร ในงาน Seattle  Marathon ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง ให้ได้ หากถึงวันนั้น ผมสามารถได้ตามเป้า ก็สามารถประเมินตัวเองได้ว่าสำเร็จ :)

M: Measurable เป้าหมายต้องวัดได้

ไม่มีอะไรที่วัดง่ายเท่าตัวเลข ยกตัวอย่างเช่น "ดี" มันยากต่อการตีความ หรือวัดว่าเราทำ "ดี" แล้วหรือไม่ หากเปลี่ยนคำว่าดีเป็นตัวเลข เช่น วิ่งได้ "ดี" หมายถึงวิ่งได้ความเร็ว 5 นาที ต่อ ชั่วโมง หากเราทำได้ตามเป้าแปลว่าเราทำได้สำเร็จ หากไม่ได้ เราก็สามารถปรับปรุงตัวเองได้

จากที่ได้กล่าวมาแล้ว เป้าหมายของผม คือวิ่งระยะมาราทอน ในเวลา 4 ชั่วโมง หรือต้องวิ่งด้วยความเร็ว ประมาณ 6 นาที ต่อ กิโลเมตร หากทำได้ตามนี้ มันคือ "ดี" ทุกครั้งที่วิ่ง ผมจะต้องตั้ง Application ให้เตือนหากวิ่งช้ากว่าเป้าหมาย จากนั้น ผมจะค่อยๆ เพิ่มระยะทางขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ระยะทาง 41.15 กิโลเมตร

A: Assignable ใครต้องทำอะไร

การทำโครงการหนึ่งๆ ต้องมีผู้ร่วมงานหลายคน การกำหนดขอบเขตของงาน แต่ละงานของแต่ละคนต้องมีความชัดเจน แต่สำหรับการวิ่ง เราวิ่งคนเดียว อาจไม่ต้องทำงานเป็นทีม 

สำหรับตัวของผมเอง ผมก็วิ่งคนเดียว แต่บางครับก็ขอให้แฟนช่วยปั่นจักรยานตาม แน่นอนหน้าที่ของแฟน จึงเปรียบเสมือนผู้ควบคุม หากผมทำไม่ได้ ตามเป้าหมาย ก็ถูกด่าตามระเบียบ 

R: Realistic เป้าหมายต้องมีโอกาศทำได้จริง

มีคนบอกว่า "ตั้งเป้าหมายต้องตั้งให้ใหญ่เข้าไว้ ถ้าไม่ได้เดือน อย่างน้อยๆ ก็ความดาวได้" ผมเห็นด้วยบางส่วนครับ การตั้งเป้าหมายที่ไม่มีโอกาสสำเร็จ จะท้อ และในที่สุดจะยอมแพ้ ทางที่ดีที่สุดตั้งให้ใหญ่เพียงพอให้เกิดความท้าทายดีที่สุด อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายที่ง่ายเกินไป จะทำให้ไม่เกิดการพัฒนา

สำหรับคนที่เริ่มวิ่งตอนทำงาน เช่นเดียวกับผม การตั้งเป้าหมาย อน่างเช่น เป็นนักวิ่งทีมชาติ หรือวิ่งเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก มันอาจจใหญ่เกินไป การตั้งเป้าหมายขนาดนั้น อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ และ ท้อ จนในที่สุดต้องเลิกวิ่ง 

T: Time ต้องมีกำหนดเวลาที่แน่นอน

หลายๆ คนบอกว่าจะวิ่งมาราทอนให้ได้ แน่นอนครับถ้าเพื่อนๆ ฝึกไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่ง ซึ่งไม่รู้จะกี่ปี ก็คงจะถึงแน่ๆ การตั้งเป้าหมายแบบนี้ทำให้เราใช้เวลาอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช้ความสามารถของตัวเองอย่าวเต็มที่

ผมตั้งเป้ามายนี้เมื่อสินเดือนมิถุนายน จากวันแรกที่เริ่มวิ่งจนถึงวันที่เข้าแข่งขัน ประมาณ 5 เดือน ดังนั้น 5 เดือน จึงเป็นกรอบระยะเวลาการฝึกซ้อม 


Source:
https://images.unsplash.com/photo-1421091242698-34f6ad7fc088?q=80&fm=jpg&s=dcb0f2523ce54aa3df780f198eba0920

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิ่งชมใบไม้เปลี่ยนสี ณ University of Washinton

(ตัวหนังสืออาจจน้อยไปหน่อยนะครับ สำหรับบืความนี้)

เสน่ห์อย่างหนึ่งเมื่อมาวิ่ง Outdoor ในต่างประเทศ ก็คือใบไม้เปลี่ยนสี 
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เพื่อนๆ พลาดความสวยงามของ ฤดูใบไม้ร่วง ผมจะพาเพื่อนๆ ไปวิ่ และชมความสวยงามของฤดูใบไม้ร่วงที่ University of Washington เมือง Seattle ประเทศอเมริกากัน 
ที่นี่ไม่ได้ไกลจากบ้านของผมเท่าไหร่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่ระยะทางไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสวยนะครับ เพราะ Campus ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ติดอันดับ 10 มหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในโลกเลยนะ

(2015 Seattle) ใบไม้ร่วงแสนเดียวดาย แต่ถ้ามีใครสักคนมาเป็นเพื่อน คงโรแมนติก

ใบไม้ กับอาคารสีแดง  

อาคารเรียนทรงปราสาทสีแดงเก่าๆ ซึ่งเมื่อมีบรรยากาศฝนๆ ท้องฟ้าครึ่มๆ ก็ชวนให้เหงา แต่ก็นะครับ ผมมาวิ่ง ก็คงไม่สนใจความเหงาเท่าไหร่ แต่ถ้าอากาศสดใจ เราจะเห็นภูเขาไฟที่ชื่อ Mt rainier ที่ห่างออกไปประมาณ 3 ชั่วโมง (รถยนต์) จากตรงนี้

(2015 Seattle) อีกมุมหนึ่ง
(2015 Seattle) อีกมุมหนึ่ง
(2015 Seattle) จตุรัสกลางมหาวิทยาลัย

Quad ก็เช่นกัน

เมื่อมาที่นี่ ต้องมาถ่ายรูปที่ Quad ก่อนเลยครับ ก่อนอื่นผมต้องบอกว่าผมเคยได้เห็น Quad ของมหาวิทยาลัยต่างๆ มาหลายมหาวิทยาลัย ข้อเสียของ Quad แห่งนี้คือเล็ก แต่อย่างไรก็ตาม Quad ที่นี่มีสิ่งที่ไม่เหมือนใครอยู่ นั่นก็คือมันเปลี่ยนสีได้ ถ้าเพื่อนๆ มาเที่ยวในฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) จะเห็นเป็นสีเขียว ถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ตุลาคม) จะเป็นสีเหลืองผสมแดง แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว (พฤศจิกายน- มีนาคม) จะไม่มีสี  เพราะใบไม้ร่วงหมด และสุดท้ายเขาว่าสวยที่สุดก็คือฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) แค่เพียงช่วง 3-4 อาทิตย์แรกจะเป็นสีชมพู  ที่ต้นไม้พวกนี้เปลี่ยนสีได้ก็เพราะมันคือ ต้นซากุระ หรือต้น cherry นั่นเอง
(2015 Seattle) อาคารเรียนใกล้ๆ Quad
(2015 Seattle) อาคารเรียนทรงปราสาทใกล้ๆ Quad
(2015 Seattle) อาคารเรียนใกล้ๆ กัน แต่ ต้นไม้ไม่เหลือใบแล้ว
ใบไม้เปลี่ยนสีทุกที่

ที่ไหนๆ ก็มีแต่สีแดง ป้ายรถเมย์ บรรยากาศหน้าอาคารเรียน แหล่งช็อปปิ่ง แหล่งที่อยู่อาศัย ล้วนเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็น่าเสียดายครับ อีกแค่ 1-2 เดือน อากาศก็จะหนาวแล้ว บรรยากาศสวยอย่างนี้ก็คงหมดไป และนี่ก็เป็น Autumn สุดท้ายก่อนกลับไทย TT

(2014 Seattle) หน้าหอพัก
(2015 Seattle) หน้าอาคารเรียนของผมเอง
(2014 Seattle) ใบไม้ที่ร่วงหล่นจากฟ้า

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

City Running: โหด มัน ฮา กับการวิ่งที่ San Francisco

เมื่อคิดถึงเมืองในฝันของพวกเราของพวกเราทุกๆ คน ผมว่า หนึ่งในนั้นต้องมีเมือง San Francisco แน่ๆ ดังนั้น เมื่อผมมีโอกาศมาที่เมืองแห่งนี้ ผมจึงดีใจเป็นอย่างมาก  
แน่นอนครับ ในฐานะผู้คลั่งใคล้การวิ่ง ผมจึงไม่ลืมหยิบรองเท้าวิ่งคู่โปรดมาด้วย การวิ่งที่นี่ สำหรับผม เป็นประสบการณ์ที่ มหัศจรรย์ ผมจึงอยากจะบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นความทรงจำ และอยากจะแชร์ เรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนเป็นข้อมูล หากเพื่อนๆ มาทางนี้จะได้ลองมาวิ่งด้วยกัน

(2015 San Francisco) วิ่ง 2 ครั้งครับ ครั้งนี้ยาวที่สุด และเป็นสถิติใหม่ของผม ซึ่งปกติที่วิ่งมาแล้ว 3 เดือน จะวิ่งไม่เคยเกิน 20 กิโลเมตร



Must do  “วิ่งขึ้น สะพาน Golden Gate”

ครั้งแรกที่ผมดูรูปสะพาน Golden gate สิ่งแรกที่เข้ามาในสมองก็คือ มันไม่สมกับสิ่งที่ได้ชื่อว่า สิ่งมหัสจรรย์ของโลก (มาชูปิชูยังดูอลังการกว่าเยอะ) ถ้าเทียบ Golden Gate ผมว่าก็คงคล้ายๆ สะพานพระราม 8 นั่นแหละมั้ง ดังนั้น เส้นทางวิ่งตอนแรกผมกะไว้ว่าจะไปเส้นทางอื่นเสียด้วยซ้ำ (ไป Nude beach อะไรอย่างนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) แต่ด้วยพลังของ Social network เพื่อนๆ หลายคนก็ไปมาแล้ว และด้วยคำว่าสิ่งมหัสจรรย์มันค้ำคออยู่ เอาว่ะผมจึงต้องไป
ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ผมยอมรับเลยว่า “มันต้องเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ”  
(2015 San Francisco) นี่แหละครับ สะพาน Golden gate เป้าหมายของการวิ่งวันนี้ 
เชิงสะพาน Golden Gate อยู่ห่างจากที่พักของผม (Union Square) ประมาณ 8 กิโลเมร ตัวสะพานยาว 1.28 กิโลเมตร ดังนั้น ระยะทางทั้งหมดจากที่พักถึงสะพาน คือ 9.28 กิโลเมตร (ถ้าไม่หลงทาง ซึ่งผมหลง) ไปกลับ รวมประมาณ 18.50 กิโลเมตร แต่ระยะทางที่ผมวิ่งทั้งหมดคือ 26.5 กิโลเมตร เนื่องจากมีบางช่วงผมวิ่งในเส้นทางที่ต่างจาก Goolge Map เนื่องจากทางวิ่งเหมาะแก่การวิ่งมากกว่า (ไม่เป็นถนนใหญ่ และไม่เปลี่ยว)
(2015 San Francisco) อากาศบนสะพานเย็นสบายมาก ลมแรงบ้างเล็กน้อย ชอบมาก
ทางวิ่งของผมไปถึงแถวๆ เขตที่เรียกว่า Sausalito แต่ยังไม่ได้ลงจากสะพาน Golden gate ดังนั้น ผมถือว่าผมวิ่งแค่ในเขต San Francisco เท่านั้น ขอโทษจริงๆ ครับ เวลาไม่มีจริงๆ กว่าจะเลิกสัมมนาก็ 4 โมง เย็นแล้ว นอกจากนี้ ในช่วงกลางคืนคนไร้บ้านในเมือง San Francisco เยอะมาก (ติดอันดับ เมืองที่มี Homeless เยอะที่สุด) ผมจึงไม่กล้าเสี่ยง
(2015 San Francisco) เรือสินค้าขนาดใหญ่แล่นผ่านใต้สะพาน แต่ผมดูแล้วเหมือลำมันเล็กมากๆ 
(2015 San Francisco) เมื่อมองเมือง San Francisco จากสะพาน Golden gate อยากใช้กล่องที่ดีๆ ถ่ายแต่ สำหรับนักวิ่งจะให้แบกกล้องใหญ่ๆ คงไม่ไหว เลยได้แค่นี้ครับ
เมื่อวิ่งมาถึงบนสะพาน สิ่งแรกที่ ประทับใจก็คือ วิวของเมือง San Francisco ทั้งเมือง มองจากระยะไกล สำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นตากล้อง การมาเก็บภาพบนสะพาน Golden gate เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง (ไม่เสียเงินสักบาท) นอกจากนี้ เพื่อนยังจะเห็นเกาะ Alcatraz หรือคุกที่ขึ้นชื่อว่า หนียากที่สุดในโลก
เอาจริงๆ ครับ ถ้ามองจากสะพาน Golden gate เกาะและฝั่งอยู่ห่างกันไม่มาก นักโทษน่าจะว่ายน้ำหนีกลับเข้าฝั่งได้แต่เพื่อนๆ เชื่อหรือไม่ครับ เขาว่าตั้งแต่ตั้งคุกนี้มามีคนพยายามหลบนี้ ไม่มีใครสามารถหลบนี้ได้เลย ทำไมนะเหรอครับ บนสะพานนี้เพื่อนๆ จะรู้ได้ถึงความโหดร้ายของกระแสลม และกระแสน้ำ (ผมเห็นคลื่นม้วนเป็นเกลียว แล้วตีชายฝั่ง คือยอมรับเลยว่าแรงจริงๆ) เพื่อนๆ ของผมเล่าว่านอกจากคลื่นจะแรงแล้ว น้ำยังเย็นมากอีกด้วย

(2015 San Francisco) คุก Alcatraz คุก ที่หนียากที่สุดในโลก (เขาว่ากันว่า) ถ่ายจากตีนสะพานนะครับ บนสะพาน Golden gate ก็เห็นแต่ กล้องผมถ่ายไม่ไหวจริงๆ

สำหรับเพื่อนที่คิดว่าการวิ่งจาก Union Square มาไกลเกินไป หรือ เวลาวิ่งไม่เพียงพอ ผมแนะนำว่า เริ่มต้นจากรอบๆ สะพาน Golden gate ก็ได้ครับ เพราะบริเวณนี้ เป็นสวนสาธารณะ มีทางวิ่งชื่อ San Francisco Bay tail สำหรับวิ่งออกกำลังกาย และปั่นจักรยานโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ทางดังกล่าวเรียบชายหาด วิ่งไป แล้วมองชายหาดไป ฟินสุดๆ

Crazy  “ทางมัน สูงชัน แบบเว่อมาก”

รถรางเป็นอีกหนึ่ง Highlight ของ San Francisco เพื่อนๆ สงสัยไหมว่า ทำไมเมืองนี้ต้องมีรถราง (นอกเหนือจากเพื่อการท่องเที่ยว) หรือเริ่มต้นจากการใช้รถราง แทนที่จะเป็น รถยนต์เหตุผลก็คือเมืองตั้งอยู่บนหุบเขาสูงต่ำกว่า กว่า 50 ลูก!!! การใช้ รถรางจึงประหยัดหลังงานมากกว่าการใช้น้ำมัน (เขาว่างั้นนะครับ)
(2015 San Francisco) รถราง อันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองแห่งนี้ แน่นอนผมไม่ได้นั่ง มาวิ่งเอา!!!
นี่แหละครับ สิ่งที่โหดร้ายที่สุดเมื่อมาวิ่งที่ San Francisco คิดดูสิครับ ขนาดรถยนต์ ยังต้องลากขึ้นเนิน แต่นักวิ่งอย่าเราไม่มีสลิง หรือเชือกผูกเวลาวิ่งขึ้นเนิน มันจะเหนื่อยขนาดไหน แต่ละลูกไม่ได้เตี้ยเลย ตอนที่ผมวิ่ง เป็นช่วง 3 กิโลเมตรแรก ผมต้องยอมเดินเลย มันคือความยากจริงๆ ในเกลี่ยแรง อย่างไรก็ตาม อย่าหมดพลังใจ เลิกวิ่งก่อนละครับ เพราะเมื่อถึงขาลง ก็สบายแล้ว!!


(2015 San Francisco) ดูความโหดร้ายของถนนสิครับ เนินสูงมากก
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถวิ่งได้นะครับ ระหว่างทาง ผมเห็นนักวิ่งจำนวนมากขึ้นเนินไปต่อได้ครับ

Must See “ความหลากหลายของ สถาปัตยกรรม”

แม้ว่าสถาปัตยกรรมของ San Francisco จะไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่โดดเด่นเท่าๆ กับศิลปะประเทศแถบยุโรป หรือ แม้กระทั่งใน Washington DC แต่ที่นี่มีความหลากหลายของลักษณะอาคารมาก อาคารจีนก็มีเยอะ รวมกับลักษณะความสูงต่ำของพื้นที่ ทำให้เห็นอาคารต่างๆ (จะพูดอย่างไรดี) ลาดยาวลงไป (พูดแล้วงง ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาเป็นว่าดูรูปดีดว่าครับ)  นอกจากนี้ บ้าน ผมว่าดูแล้วไม่จำเจ แต่ละหลังทาสีต่างกัน รูปทรงต่างกัน ดังนั้น ผมรู้สึกอินกับบรรยากาศมาก จนต้องหยุดวิ่งเพื่อถ่ายรูปหลายครั้งทีเดียว
(2015 San Francisco) ตึกหลากหลายแบบตั้งอยู่ด้วยกัน สวยมากครับ
ตึกที่ค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ ผมยกให้ ตึก Trans America หรือ ตึกทรงปีรามิด ตืกนี้ สร้างมาตั้งแต่ปี 1972 โดยตัวตึกอาจจะดูเฉยๆ คล้ายๆ กับโรงแรม Ryugyong ในเกาหลีเหนือ (ผมก็พูดซะไม่อยากดูเลย)
(2015 San Francisco) ตึกปีรามิด นี่ผมวิ่งในอียิป หรือเปล่าาาา
นอกจากนี้ อาคารโรงแรมหลายๆ แห่งสร้างโดย Renovate ตึกเก่าๆ ครับ เช่น โรงแรม The Westin St. Francis San Francisco ไม่พอครับ ยังมีอาคารเก่าๆ ใน Chinatown อีกมากมาย เช่น ร้านกาแฟ Cafe Zoetrope อาคาร Flood Building รวมทั้งสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ ผมว่าสถาปัตยกรรมของอาคารค่อนข้างจะผสมผสาน แต่ดูแล้วกลมกลืน

Annoy “หาบเร่แผงลอย และก่อสร้าง”

ฟังไม่ผิดหรอกครับ!! หาบแร่แผงลอย อย่างว่าแหละครับ ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ การวิ่งใจกลางเมืองอาจจะไม่สามารถทำความเร็วได้มากเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณ Chinatown ทางค่อนข้างแคบ มีแผงลอยตั้งเยอะ รวมทั้ง ร้านค้าชอบตั้งของไว้หน้าร้าน อาจจะสร้างความลำคาญบ้าง แต่หากมองเป็นความสนุก แบบว่ามีสินค้าให้ดูระหว่างทางวิ่ง ก็สนุกดี TT
นอกจากนี้ครับ เนื่องจากแถวเศรษฐกิจของรัฐทางตะวันตกของอเมริกากำลังเติบโตในอัตราที่สูง เราจึงจะเห็น site ก่อสร้างได้ทั่วไปในเมือง บางทีเขาก็ปิดถนนบริเวณที่ก่อสร้างด้วย ทำให้วิ่งลำบากนิดหน่อยครับ
(2015 San Francisco) งานก่อสร้าง ปิดทางเดินเห็นได้ทั่วไป

Overall “ยังไงก็ต้องมาลุย สักครั้งในชีวิต”

ใครจะคิดว่าเมืองที่มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น (คล้ายๆ กรุงเทพ) คนทำงาน คนใส่สูท เดินกันไป
เเต่มีคนออกมาวิ่งเยอะมาก ในบริเวณใจกลางเมือง (คล้ายๆ สยาม นั่นแหละครับ) แต่ละคนเแต่งตัวจัดเต็มมาก เสื้อวิ่ง กระเป๋า รองเท้า นอกจากนี้ จากที่ได้กล่าวมาแล้วทาง อากาศที่นี้ แล้วทั้งวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ดังนั้น เพื่อนๆ จะรอช้าอยู่ใย มาวิ่งกันเถอะครับ