วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิ่งอย่างมีเป้าหมาย SMART

มีคนมักถามว่าทำอย่างไรจะวิ่งระยะไกล หรือแม้กระทั่งมาราทอน คำตอบไม่ใช่ท่าวิ่ง วิธีการหายใจ หรือการลงเท้าตอนวิ่ง ทั้งหมดทั้งปวงมันอยู่ที่ "การตั้งเป้าหมาย" เป้าหมายเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า เราทำสำเร็จหรือไม่ เช่น ลองย้อยกลับไปสมัยเรียน เราต้องทำคะแนนให้ได้ตามเป้าหมายเพื่อที่จะได้เลื่อนชั้น ในโลกธุรกิจ นักธุรกิจ พ่อค้าต้องตั้งเป้าหมายกำไรของธุรกิจ หรือในระดับชาติ ผู้บริหารประเทศต้องตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ต่อหัวของประชากร เป็นต้น หากตั้งเป้าหมายได้ดี โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ผมว่าน่าจะเกินครึ่งแล้ว

เป้าหมายที่ดีต้อง SMART

เนื่องจากผมจบสายเศรษฐศาสตร์ ผมจึงมีวิธีการง่ายๆ ที่ใช้ตั้งเป้าหมายของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถประยุกต์เข้ากับการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังครับ วิธีการดังกล่าวเรียกว่า SMART หรือ S.M.A.R.T.

S: Specific เป้าหมายต้องมีความชัดเจน

การตั้งเป้าหมายที่กว้าง และมีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน จะยากในการปฎิบัติตามและประเมินผล เนื่องจากในที่สุดแล้ว ตั้งเป้าหมายก็เหมือนไม่ได้ตั้ง สุดท้ายแม้แต่คนที่ตั้งเป้ามายเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เช่น การตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดในโลก มันกว้างมากจนเราเริ่มต้นปฎิบัติตามไม่ถูก

เป้าหมายของของผม คือต้องเข้าเส้นชัยของการวิ่งมาราทอน ระยะทาง 41.195 กิโลเมตร ในงาน Seattle  Marathon ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง ให้ได้ หากถึงวันนั้น ผมสามารถได้ตามเป้า ก็สามารถประเมินตัวเองได้ว่าสำเร็จ :)

M: Measurable เป้าหมายต้องวัดได้

ไม่มีอะไรที่วัดง่ายเท่าตัวเลข ยกตัวอย่างเช่น "ดี" มันยากต่อการตีความ หรือวัดว่าเราทำ "ดี" แล้วหรือไม่ หากเปลี่ยนคำว่าดีเป็นตัวเลข เช่น วิ่งได้ "ดี" หมายถึงวิ่งได้ความเร็ว 5 นาที ต่อ ชั่วโมง หากเราทำได้ตามเป้าแปลว่าเราทำได้สำเร็จ หากไม่ได้ เราก็สามารถปรับปรุงตัวเองได้

จากที่ได้กล่าวมาแล้ว เป้าหมายของผม คือวิ่งระยะมาราทอน ในเวลา 4 ชั่วโมง หรือต้องวิ่งด้วยความเร็ว ประมาณ 6 นาที ต่อ กิโลเมตร หากทำได้ตามนี้ มันคือ "ดี" ทุกครั้งที่วิ่ง ผมจะต้องตั้ง Application ให้เตือนหากวิ่งช้ากว่าเป้าหมาย จากนั้น ผมจะค่อยๆ เพิ่มระยะทางขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ระยะทาง 41.15 กิโลเมตร

A: Assignable ใครต้องทำอะไร

การทำโครงการหนึ่งๆ ต้องมีผู้ร่วมงานหลายคน การกำหนดขอบเขตของงาน แต่ละงานของแต่ละคนต้องมีความชัดเจน แต่สำหรับการวิ่ง เราวิ่งคนเดียว อาจไม่ต้องทำงานเป็นทีม 

สำหรับตัวของผมเอง ผมก็วิ่งคนเดียว แต่บางครับก็ขอให้แฟนช่วยปั่นจักรยานตาม แน่นอนหน้าที่ของแฟน จึงเปรียบเสมือนผู้ควบคุม หากผมทำไม่ได้ ตามเป้าหมาย ก็ถูกด่าตามระเบียบ 

R: Realistic เป้าหมายต้องมีโอกาศทำได้จริง

มีคนบอกว่า "ตั้งเป้าหมายต้องตั้งให้ใหญ่เข้าไว้ ถ้าไม่ได้เดือน อย่างน้อยๆ ก็ความดาวได้" ผมเห็นด้วยบางส่วนครับ การตั้งเป้าหมายที่ไม่มีโอกาสสำเร็จ จะท้อ และในที่สุดจะยอมแพ้ ทางที่ดีที่สุดตั้งให้ใหญ่เพียงพอให้เกิดความท้าทายดีที่สุด อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายที่ง่ายเกินไป จะทำให้ไม่เกิดการพัฒนา

สำหรับคนที่เริ่มวิ่งตอนทำงาน เช่นเดียวกับผม การตั้งเป้าหมาย อน่างเช่น เป็นนักวิ่งทีมชาติ หรือวิ่งเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก มันอาจจใหญ่เกินไป การตั้งเป้าหมายขนาดนั้น อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ และ ท้อ จนในที่สุดต้องเลิกวิ่ง 

T: Time ต้องมีกำหนดเวลาที่แน่นอน

หลายๆ คนบอกว่าจะวิ่งมาราทอนให้ได้ แน่นอนครับถ้าเพื่อนๆ ฝึกไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่ง ซึ่งไม่รู้จะกี่ปี ก็คงจะถึงแน่ๆ การตั้งเป้าหมายแบบนี้ทำให้เราใช้เวลาอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช้ความสามารถของตัวเองอย่าวเต็มที่

ผมตั้งเป้ามายนี้เมื่อสินเดือนมิถุนายน จากวันแรกที่เริ่มวิ่งจนถึงวันที่เข้าแข่งขัน ประมาณ 5 เดือน ดังนั้น 5 เดือน จึงเป็นกรอบระยะเวลาการฝึกซ้อม 


Source:
https://images.unsplash.com/photo-1421091242698-34f6ad7fc088?q=80&fm=jpg&s=dcb0f2523ce54aa3df780f198eba0920

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิ่งชมใบไม้เปลี่ยนสี ณ University of Washinton

(ตัวหนังสืออาจจน้อยไปหน่อยนะครับ สำหรับบืความนี้)

เสน่ห์อย่างหนึ่งเมื่อมาวิ่ง Outdoor ในต่างประเทศ ก็คือใบไม้เปลี่ยนสี 
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เพื่อนๆ พลาดความสวยงามของ ฤดูใบไม้ร่วง ผมจะพาเพื่อนๆ ไปวิ่ และชมความสวยงามของฤดูใบไม้ร่วงที่ University of Washington เมือง Seattle ประเทศอเมริกากัน 
ที่นี่ไม่ได้ไกลจากบ้านของผมเท่าไหร่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่ระยะทางไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสวยนะครับ เพราะ Campus ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ติดอันดับ 10 มหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในโลกเลยนะ

(2015 Seattle) ใบไม้ร่วงแสนเดียวดาย แต่ถ้ามีใครสักคนมาเป็นเพื่อน คงโรแมนติก

ใบไม้ กับอาคารสีแดง  

อาคารเรียนทรงปราสาทสีแดงเก่าๆ ซึ่งเมื่อมีบรรยากาศฝนๆ ท้องฟ้าครึ่มๆ ก็ชวนให้เหงา แต่ก็นะครับ ผมมาวิ่ง ก็คงไม่สนใจความเหงาเท่าไหร่ แต่ถ้าอากาศสดใจ เราจะเห็นภูเขาไฟที่ชื่อ Mt rainier ที่ห่างออกไปประมาณ 3 ชั่วโมง (รถยนต์) จากตรงนี้

(2015 Seattle) อีกมุมหนึ่ง
(2015 Seattle) อีกมุมหนึ่ง
(2015 Seattle) จตุรัสกลางมหาวิทยาลัย

Quad ก็เช่นกัน

เมื่อมาที่นี่ ต้องมาถ่ายรูปที่ Quad ก่อนเลยครับ ก่อนอื่นผมต้องบอกว่าผมเคยได้เห็น Quad ของมหาวิทยาลัยต่างๆ มาหลายมหาวิทยาลัย ข้อเสียของ Quad แห่งนี้คือเล็ก แต่อย่างไรก็ตาม Quad ที่นี่มีสิ่งที่ไม่เหมือนใครอยู่ นั่นก็คือมันเปลี่ยนสีได้ ถ้าเพื่อนๆ มาเที่ยวในฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) จะเห็นเป็นสีเขียว ถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ตุลาคม) จะเป็นสีเหลืองผสมแดง แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว (พฤศจิกายน- มีนาคม) จะไม่มีสี  เพราะใบไม้ร่วงหมด และสุดท้ายเขาว่าสวยที่สุดก็คือฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) แค่เพียงช่วง 3-4 อาทิตย์แรกจะเป็นสีชมพู  ที่ต้นไม้พวกนี้เปลี่ยนสีได้ก็เพราะมันคือ ต้นซากุระ หรือต้น cherry นั่นเอง
(2015 Seattle) อาคารเรียนใกล้ๆ Quad
(2015 Seattle) อาคารเรียนทรงปราสาทใกล้ๆ Quad
(2015 Seattle) อาคารเรียนใกล้ๆ กัน แต่ ต้นไม้ไม่เหลือใบแล้ว
ใบไม้เปลี่ยนสีทุกที่

ที่ไหนๆ ก็มีแต่สีแดง ป้ายรถเมย์ บรรยากาศหน้าอาคารเรียน แหล่งช็อปปิ่ง แหล่งที่อยู่อาศัย ล้วนเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็น่าเสียดายครับ อีกแค่ 1-2 เดือน อากาศก็จะหนาวแล้ว บรรยากาศสวยอย่างนี้ก็คงหมดไป และนี่ก็เป็น Autumn สุดท้ายก่อนกลับไทย TT

(2014 Seattle) หน้าหอพัก
(2015 Seattle) หน้าอาคารเรียนของผมเอง
(2014 Seattle) ใบไม้ที่ร่วงหล่นจากฟ้า

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

City Running: โหด มัน ฮา กับการวิ่งที่ San Francisco

เมื่อคิดถึงเมืองในฝันของพวกเราของพวกเราทุกๆ คน ผมว่า หนึ่งในนั้นต้องมีเมือง San Francisco แน่ๆ ดังนั้น เมื่อผมมีโอกาศมาที่เมืองแห่งนี้ ผมจึงดีใจเป็นอย่างมาก  
แน่นอนครับ ในฐานะผู้คลั่งใคล้การวิ่ง ผมจึงไม่ลืมหยิบรองเท้าวิ่งคู่โปรดมาด้วย การวิ่งที่นี่ สำหรับผม เป็นประสบการณ์ที่ มหัศจรรย์ ผมจึงอยากจะบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นความทรงจำ และอยากจะแชร์ เรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนเป็นข้อมูล หากเพื่อนๆ มาทางนี้จะได้ลองมาวิ่งด้วยกัน

(2015 San Francisco) วิ่ง 2 ครั้งครับ ครั้งนี้ยาวที่สุด และเป็นสถิติใหม่ของผม ซึ่งปกติที่วิ่งมาแล้ว 3 เดือน จะวิ่งไม่เคยเกิน 20 กิโลเมตร



Must do  “วิ่งขึ้น สะพาน Golden Gate”

ครั้งแรกที่ผมดูรูปสะพาน Golden gate สิ่งแรกที่เข้ามาในสมองก็คือ มันไม่สมกับสิ่งที่ได้ชื่อว่า สิ่งมหัสจรรย์ของโลก (มาชูปิชูยังดูอลังการกว่าเยอะ) ถ้าเทียบ Golden Gate ผมว่าก็คงคล้ายๆ สะพานพระราม 8 นั่นแหละมั้ง ดังนั้น เส้นทางวิ่งตอนแรกผมกะไว้ว่าจะไปเส้นทางอื่นเสียด้วยซ้ำ (ไป Nude beach อะไรอย่างนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) แต่ด้วยพลังของ Social network เพื่อนๆ หลายคนก็ไปมาแล้ว และด้วยคำว่าสิ่งมหัสจรรย์มันค้ำคออยู่ เอาว่ะผมจึงต้องไป
ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ผมยอมรับเลยว่า “มันต้องเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ”  
(2015 San Francisco) นี่แหละครับ สะพาน Golden gate เป้าหมายของการวิ่งวันนี้ 
เชิงสะพาน Golden Gate อยู่ห่างจากที่พักของผม (Union Square) ประมาณ 8 กิโลเมร ตัวสะพานยาว 1.28 กิโลเมตร ดังนั้น ระยะทางทั้งหมดจากที่พักถึงสะพาน คือ 9.28 กิโลเมตร (ถ้าไม่หลงทาง ซึ่งผมหลง) ไปกลับ รวมประมาณ 18.50 กิโลเมตร แต่ระยะทางที่ผมวิ่งทั้งหมดคือ 26.5 กิโลเมตร เนื่องจากมีบางช่วงผมวิ่งในเส้นทางที่ต่างจาก Goolge Map เนื่องจากทางวิ่งเหมาะแก่การวิ่งมากกว่า (ไม่เป็นถนนใหญ่ และไม่เปลี่ยว)
(2015 San Francisco) อากาศบนสะพานเย็นสบายมาก ลมแรงบ้างเล็กน้อย ชอบมาก
ทางวิ่งของผมไปถึงแถวๆ เขตที่เรียกว่า Sausalito แต่ยังไม่ได้ลงจากสะพาน Golden gate ดังนั้น ผมถือว่าผมวิ่งแค่ในเขต San Francisco เท่านั้น ขอโทษจริงๆ ครับ เวลาไม่มีจริงๆ กว่าจะเลิกสัมมนาก็ 4 โมง เย็นแล้ว นอกจากนี้ ในช่วงกลางคืนคนไร้บ้านในเมือง San Francisco เยอะมาก (ติดอันดับ เมืองที่มี Homeless เยอะที่สุด) ผมจึงไม่กล้าเสี่ยง
(2015 San Francisco) เรือสินค้าขนาดใหญ่แล่นผ่านใต้สะพาน แต่ผมดูแล้วเหมือลำมันเล็กมากๆ 
(2015 San Francisco) เมื่อมองเมือง San Francisco จากสะพาน Golden gate อยากใช้กล่องที่ดีๆ ถ่ายแต่ สำหรับนักวิ่งจะให้แบกกล้องใหญ่ๆ คงไม่ไหว เลยได้แค่นี้ครับ
เมื่อวิ่งมาถึงบนสะพาน สิ่งแรกที่ ประทับใจก็คือ วิวของเมือง San Francisco ทั้งเมือง มองจากระยะไกล สำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นตากล้อง การมาเก็บภาพบนสะพาน Golden gate เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง (ไม่เสียเงินสักบาท) นอกจากนี้ เพื่อนยังจะเห็นเกาะ Alcatraz หรือคุกที่ขึ้นชื่อว่า หนียากที่สุดในโลก
เอาจริงๆ ครับ ถ้ามองจากสะพาน Golden gate เกาะและฝั่งอยู่ห่างกันไม่มาก นักโทษน่าจะว่ายน้ำหนีกลับเข้าฝั่งได้แต่เพื่อนๆ เชื่อหรือไม่ครับ เขาว่าตั้งแต่ตั้งคุกนี้มามีคนพยายามหลบนี้ ไม่มีใครสามารถหลบนี้ได้เลย ทำไมนะเหรอครับ บนสะพานนี้เพื่อนๆ จะรู้ได้ถึงความโหดร้ายของกระแสลม และกระแสน้ำ (ผมเห็นคลื่นม้วนเป็นเกลียว แล้วตีชายฝั่ง คือยอมรับเลยว่าแรงจริงๆ) เพื่อนๆ ของผมเล่าว่านอกจากคลื่นจะแรงแล้ว น้ำยังเย็นมากอีกด้วย

(2015 San Francisco) คุก Alcatraz คุก ที่หนียากที่สุดในโลก (เขาว่ากันว่า) ถ่ายจากตีนสะพานนะครับ บนสะพาน Golden gate ก็เห็นแต่ กล้องผมถ่ายไม่ไหวจริงๆ

สำหรับเพื่อนที่คิดว่าการวิ่งจาก Union Square มาไกลเกินไป หรือ เวลาวิ่งไม่เพียงพอ ผมแนะนำว่า เริ่มต้นจากรอบๆ สะพาน Golden gate ก็ได้ครับ เพราะบริเวณนี้ เป็นสวนสาธารณะ มีทางวิ่งชื่อ San Francisco Bay tail สำหรับวิ่งออกกำลังกาย และปั่นจักรยานโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ทางดังกล่าวเรียบชายหาด วิ่งไป แล้วมองชายหาดไป ฟินสุดๆ

Crazy  “ทางมัน สูงชัน แบบเว่อมาก”

รถรางเป็นอีกหนึ่ง Highlight ของ San Francisco เพื่อนๆ สงสัยไหมว่า ทำไมเมืองนี้ต้องมีรถราง (นอกเหนือจากเพื่อการท่องเที่ยว) หรือเริ่มต้นจากการใช้รถราง แทนที่จะเป็น รถยนต์เหตุผลก็คือเมืองตั้งอยู่บนหุบเขาสูงต่ำกว่า กว่า 50 ลูก!!! การใช้ รถรางจึงประหยัดหลังงานมากกว่าการใช้น้ำมัน (เขาว่างั้นนะครับ)
(2015 San Francisco) รถราง อันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองแห่งนี้ แน่นอนผมไม่ได้นั่ง มาวิ่งเอา!!!
นี่แหละครับ สิ่งที่โหดร้ายที่สุดเมื่อมาวิ่งที่ San Francisco คิดดูสิครับ ขนาดรถยนต์ ยังต้องลากขึ้นเนิน แต่นักวิ่งอย่าเราไม่มีสลิง หรือเชือกผูกเวลาวิ่งขึ้นเนิน มันจะเหนื่อยขนาดไหน แต่ละลูกไม่ได้เตี้ยเลย ตอนที่ผมวิ่ง เป็นช่วง 3 กิโลเมตรแรก ผมต้องยอมเดินเลย มันคือความยากจริงๆ ในเกลี่ยแรง อย่างไรก็ตาม อย่าหมดพลังใจ เลิกวิ่งก่อนละครับ เพราะเมื่อถึงขาลง ก็สบายแล้ว!!


(2015 San Francisco) ดูความโหดร้ายของถนนสิครับ เนินสูงมากก
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถวิ่งได้นะครับ ระหว่างทาง ผมเห็นนักวิ่งจำนวนมากขึ้นเนินไปต่อได้ครับ

Must See “ความหลากหลายของ สถาปัตยกรรม”

แม้ว่าสถาปัตยกรรมของ San Francisco จะไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่โดดเด่นเท่าๆ กับศิลปะประเทศแถบยุโรป หรือ แม้กระทั่งใน Washington DC แต่ที่นี่มีความหลากหลายของลักษณะอาคารมาก อาคารจีนก็มีเยอะ รวมกับลักษณะความสูงต่ำของพื้นที่ ทำให้เห็นอาคารต่างๆ (จะพูดอย่างไรดี) ลาดยาวลงไป (พูดแล้วงง ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาเป็นว่าดูรูปดีดว่าครับ)  นอกจากนี้ บ้าน ผมว่าดูแล้วไม่จำเจ แต่ละหลังทาสีต่างกัน รูปทรงต่างกัน ดังนั้น ผมรู้สึกอินกับบรรยากาศมาก จนต้องหยุดวิ่งเพื่อถ่ายรูปหลายครั้งทีเดียว
(2015 San Francisco) ตึกหลากหลายแบบตั้งอยู่ด้วยกัน สวยมากครับ
ตึกที่ค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ ผมยกให้ ตึก Trans America หรือ ตึกทรงปีรามิด ตืกนี้ สร้างมาตั้งแต่ปี 1972 โดยตัวตึกอาจจะดูเฉยๆ คล้ายๆ กับโรงแรม Ryugyong ในเกาหลีเหนือ (ผมก็พูดซะไม่อยากดูเลย)
(2015 San Francisco) ตึกปีรามิด นี่ผมวิ่งในอียิป หรือเปล่าาาา
นอกจากนี้ อาคารโรงแรมหลายๆ แห่งสร้างโดย Renovate ตึกเก่าๆ ครับ เช่น โรงแรม The Westin St. Francis San Francisco ไม่พอครับ ยังมีอาคารเก่าๆ ใน Chinatown อีกมากมาย เช่น ร้านกาแฟ Cafe Zoetrope อาคาร Flood Building รวมทั้งสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ ผมว่าสถาปัตยกรรมของอาคารค่อนข้างจะผสมผสาน แต่ดูแล้วกลมกลืน

Annoy “หาบเร่แผงลอย และก่อสร้าง”

ฟังไม่ผิดหรอกครับ!! หาบแร่แผงลอย อย่างว่าแหละครับ ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ การวิ่งใจกลางเมืองอาจจะไม่สามารถทำความเร็วได้มากเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณ Chinatown ทางค่อนข้างแคบ มีแผงลอยตั้งเยอะ รวมทั้ง ร้านค้าชอบตั้งของไว้หน้าร้าน อาจจะสร้างความลำคาญบ้าง แต่หากมองเป็นความสนุก แบบว่ามีสินค้าให้ดูระหว่างทางวิ่ง ก็สนุกดี TT
นอกจากนี้ครับ เนื่องจากแถวเศรษฐกิจของรัฐทางตะวันตกของอเมริกากำลังเติบโตในอัตราที่สูง เราจึงจะเห็น site ก่อสร้างได้ทั่วไปในเมือง บางทีเขาก็ปิดถนนบริเวณที่ก่อสร้างด้วย ทำให้วิ่งลำบากนิดหน่อยครับ
(2015 San Francisco) งานก่อสร้าง ปิดทางเดินเห็นได้ทั่วไป

Overall “ยังไงก็ต้องมาลุย สักครั้งในชีวิต”

ใครจะคิดว่าเมืองที่มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น (คล้ายๆ กรุงเทพ) คนทำงาน คนใส่สูท เดินกันไป
เเต่มีคนออกมาวิ่งเยอะมาก ในบริเวณใจกลางเมือง (คล้ายๆ สยาม นั่นแหละครับ) แต่ละคนเแต่งตัวจัดเต็มมาก เสื้อวิ่ง กระเป๋า รองเท้า นอกจากนี้ จากที่ได้กล่าวมาแล้วทาง อากาศที่นี้ แล้วทั้งวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ดังนั้น เพื่อนๆ จะรอช้าอยู่ใย มาวิ่งกันเถอะครับ


วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Variety: 5 เหตุผล ที่ “พนักงานออฟฟิศ” ควร “วิ่ง”

“ที่ไหน เมื่อไหร่” ก็ได้
ก่อนอื่นเลย เราต้องยอมรับครับว่า “ยากมากๆ” ที่ “พนักงานออฟฟิศ” อย่างเราๆ จะเอาดีทางด้านกีฬา พี่ๆ เพื่อนๆ ของผมหลายคนเคยเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย จนกระทั้งเมื่อได้งานประจำทำก็ต้องเลิกเล่นกีฬาเหล่านั้น สาเหตุหลักก็เพราะต้องทุ่มเทให้กับงาน ครับเห็นชัดๆ เลยก็คือจะนัดเพื่อนๆ เพื่อเล่นกีฬาก็ไม่ได้เพราะเวลาไม่ตรงกัน
สำหรับกีฬาวิ่งสามารถทำได้ เพราะเราสามารถซ้อมเมื่อไหร่ และสถานที่ใดก็ได้ พูดแค่นี้อาจฟังดูเกินจริงครับ แต่พนักงานออฟฟิศชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อ ยูกิ คาวาอูชิ เขาสามารถวิ่งจนประสบความสำเร็จ โดยเวลาที่ดีที่สุดของเขาคือประมาณ 2 ชั่วโมง 8 นาที ในการวิ่งระยะมาราทอน ทั้งๆ ที่เขาต้องทำงานประจำไปด้วย

ศัตรูสิ่งเดียว คือ “หัวใจ”
โดยพื้นฐานของมนุษย์ เราทั้งเกลียดและกลัวความพ่ายแพ้ หากรู้ว่าต้องแพ้ เรามักหลีกเลี่ยงกิจกรรมนั้น กีฬาก็เช่นกัน พนักงานออฟฟิศ พูดตรงๆ ครับเล่นกีฬาอะไรก็ชนะอยาก เพราะทั้งวันเราต้องทำแต่งาน ถ้าเป็นเรื่องงาน “เราชนะแน่ๆ” ดังนั้นเมื่อถูกชวนไปเล่นกีฬา หลายๆ ครั้ง เรามักปฎิเสธ
แต่สำหรับการวิ่ง นักวิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะแพ้ ไม่ต้องกังวลคู่แข่ง ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นมือใหม่ หรืออ่อนสนามเพียงใด เป้าหมายของการวิ่งคือเส้นชัย การเข้าเส้นชัยได้ก็เปรียบเสมือนการเอาชนะหัวใจตัวเองได้ เมื่อเข้าเส้นชัยได้ เราก็คือสามารถเป็นผู้ชนะ ที่เอาชนะใจตัวเอง นั้นเอง

มีแต่คำว่า “เพื่อน” เท่านั้น
ผมเคยเรียนกีฬาต่อสู้มา สิ่งแรกที่โค้ชสอนผมก็คือ เมื่อยู่ในสนามทุกๆ คนคือศัตรู ห้ามเห็นใจคู่ต่อสู้โดยเด็ดขาด แต่คำสอนนี้ตรงกันข้ามกับการวิ่งโดยสิ้นเชิงครับ
ผมเข้าร่วมการวิ่งหลายรายการ มิตรภาพสามารถพบเห็นได้ตลอด หลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีนักวิ่งประสบอุบัติเหตุก็จะมีนักวิ่งคนอื่นๆ เข้าไปช่วยเหลือเสมอ นอกจากนี้ ตลอดระยะทางการวิ่ง เรามักจะได้รับกำลังใจจากนักวิ่งคนอื่นๆ เสมอ เช่น นักวิ่งที่วิ่งผ่านจุดกลับตัวมาแล้วตะโกนให้กำลังใจ นักวิ่งคนอื่นๆ ที่วิ่งตามมา บ้างก็เข้ามาแปะมือให้กำลังใจอีกด้วย

วิ่ง กับ “ครอบครัว”
ในภาวะที่ต้องทำงานตลอด 8-10 ชั่วโมง ในตอนกลางวัน ไหนจะต้องทำงานพิเศษอีกในช่วงการคืน การหากิจกรรมทำกับครอบครัว ที่ทั้งแฟน พ่อ แม่ สามารถทำร่วมกันได้ และเป็นประโยชน์ คงไม่มีอะไรดีไปกว่า การพาไปออกกำลังโดยการวิ่งอีกแล้ว นอกจากจะเป็นการใช้เวลาร่วมกัน ทุกคนยังจะมีสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย


ใครๆ เขาก็ "วิ่ง"
ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวนนักวิ่งที่เข้าร่วมงานต่างๆ มีจำนวนมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ข้อมูลจากเวปไซต์ runningusa รายงานว่า ใรปี 2013 มีจำนวนคนที่เข้าร่วมงานวิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่าปี 2012 กว่า 10% ในขณะที่การวิ่งที่ประเทศไทย อาทิ Bangkok Marathon มีจำนวนผู้ร่วมงานกว่า 30,000 คน จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี นอกจากนี้ถ้าหากเพื่อนๆ ชาวออฟฟิศลองออกไปเดินตามสวนสาธารณะ ก็จะพบว่า ทุกๆ คนออกมาวิ่งกันครับ  ไม่แน่ว่า เพื่อนๆ ในออฟฟิศคุณก็ออกกำลังกายกันอยู่ เพียงแต่คุณไม่รู้ ก็ได้



(Photo: https://stocksnap.io/photo/X2Q7LBUF6U)

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

City Running: Cusco (Machu Picchu), Peru

ความสูงที่เกือบถึงฟ้า หากร่างกายไม่พร้อม อย่าลุยเด็ดขาด "อย่าทำร้ายตัวเอง" พักผ่อนให้เพียงพอ  กินข้าวให้อิ่ม หากเกิดอาการผิดปกติอย่าฝืนวิ่งต่อไป เพราะมันอาจจะทำให้เกิดอัตรายบางครั้งอาจถึงแก่ชีวิตได้ อย่างเช่น เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองที่สู่งติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก หรือเมือง Cusco ประเทศเปรู

ผมเริ่มเดินทางจาก Washington DC ใช้เวลา 5 ชั่วโมงเพื่อบินมาต่อเครื่องที่ประเทศปานามา จากประเทศปานามาผมเดินทางต่อทันที โดยใช้เวลาอีก 5 ชั่วโมงจนมาถึงเมือง Lima ไม่หนำใจ ผมรอต่อเครื่องอีก 5 ชั่วโมงใน gate จากนั้นบินต่ออีก 1  ชั่วโมง มายังเมือง Cusco ประเทศเปรู ถามว่าทำไมต้องมาที่เมืองนี้ ง่ายๆ ครับ เมืองนี้เป็นเมืองหลวงเก่าของชาวอินคา ใครจะไป มาชูปิชู ต้องมาเริ่มที่นี้เท่านั้น  

ท่านที่เป็นนักเดินทางคนจะเข้าใจ การนั่งเครื่องบิน Low cost ชั้น Economy นั้นหลับยากมาก และอาหารการกินก็ไม่ได้อิ่มสบาย มันเป็นการเดินทางที่เน้นการเดินทางจริงๆ แบบอย่าได้คาดหวังความสะดวกสบายเลย นอกจากนี้การนอนที่สนามบินระหว่างต่อเครื่องก็ไม่ใช่ว่าจะหลับง่ายๆ ยิ่งสนามบินในเมืองหลวงที่มีคนเดินไปมาพลุกพล่านแล้ว ยิ่งหลับไม่ลงเลย เท่ากับว่าการเดินทางครั้งนี้ผมแทบไม่ได้นอน อาหารก็แทบไม่ได้กิน

การไปเที่ยวเมือง Cusco ต้องระวัง อาการ High Altitude sickness อาการ เมื่อเราขึ้นไปบนที่สูงมากๆ จะเกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ และบางครั้งจะเกิดอาการหน้ามืด ยิ่งเมืองนี้ ติดอันดับเมืองที่สูงที่สุดในโลก โดยสูงประมาณ 3,500 เมตร หรือ มากกว่า 11,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล หากเปรียบเทียบกับดอยอินทนนน์ ซึ่งสูงประมาณ 2,500 เมตร ก็เหมือนพ่อยืนคู่กับลูกเลยแหละครับ

ผมมาถึงเมือง Cuzco ตอนนั้นประมาณ 8 โมงเช้าครับ มันเป็นการเดินทางที่เหนื่อยและหิวมากครับบอกตรงๆ ทันทีที่ถึงสนามบิน พวกเราต่อ Taxi ไปยังที่พัก จากนั้น ด้วยความบ้า ผมออกไปวื่งทันที  

วิ่งไปยังไม่ถึง 1 กิโลเมตร อาการแปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นคือ เริ่มเหนื่อย ทั้งๆที่ปกติซ้อมประมาณ 10 กิโลเมตร หายใจเร็วขึ้นมาก หัวใจเต้นเร็ว และปวดหัวมาก ดังนั้นผมจึงต้องเดิน วิ่งต่อไปสักพัก อาการปวดหัว เริ่มแรงขึ้น ตอนนี้เริ่มปวดท้องด้วยแล้ว

เผมต้องยอมรับสภาพ มันไม่ไหวจริงๆ ผมเริ่มหายใจแบบเหนื่อยๆ หมดแรงมากๆ ถ้ายังเดินต่อไปอีกผมคงเป็นลมแน่ๆ ผมคงต้องรีบกลับโรงแรมทันที ระหว่างทางที่เดินกลับเหมือนจะขาดใจเลยครับ อากาศค่อนข้างเย็น แต่แสงแดดค่อนข้างจ้า ทรมาณมากๆ จากที่ขามาผมว่ามันสวยมาก แต่ ณ ตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กลับโรงแรมให้เร็วที่สุด

ในที่สุดก็ลากสังขารกลับมาถึงโรงแรมจนได้ ผมต้องประคองตัวเองกับราวบันได้ ตะเกียดตะกายจนถึงห้อง ผมนั่งบนเตียง ตอนนั้นผมหน้ามืดมากครับ จักพักมันวูดไปเลย ไม่ไหวครับ ท้าท้าธรรมชาติไม่ไหว จากนั้นก็หลับไปแบบไม่รู้สึกตัว เอาจริงคงเรียกว่า สลบ ไปเลยแหละครับ

ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ อย่าฝืนร่างการตัวเอง หากไปยังเมืองอื่นที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน ลองเดินสำรวจดูก่อน อย่าเพิ่งรีบวิ่งเกินไปครับ อาจจะเกิดอันตรายได้