วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เริ่มวิ่งใหม่อีกครั้ง มันยากนะ!!

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความสำเร็จ

ถ้าถามอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่า มีอะไรไหมที่สามารถเอาชนะแสงได้  แกจะตอบว่า "ไม่มีหรอก"

เช่นเดียวกัน ถ้าถามนักวิ่งสายขึ้เกรียจอย่างพวกเราว่า มีอะไรไหม ที่สามารถเอาชนะความขี้เกียจได้พวกเราก็จะตอบว่า "ไม่มีหรอก" เช่นกัน
ยิ่งเมื่อเราทำเป้าหมายสำเร็จ ก็เหมือนเราตกลงมาใน Comfort Zone ของตัวเราเอง มีแต่คนยินดี มีแต่คนชื่นชม ขนาดนอนยังเก็บเอาไปฝันเลย 

แต่จริงๆ แล้วมันคือ กับดักที่น่ากลัวที่สุด


(2015 albert einstein)

Source: http://img0.mxstatic.com/wallpapers/e48cbce976d36de2eaed51a810838fbe_large.jpeg
หยุดวิ่งไปนานมาก ถึงเวลาที่ต้องเริ่มต้นใหม่

หลังจากวิ่งที่งาน Seattle Marathon เสร็จ นี่ก็ผ่านมาร่วมๆ 3 อาทิตย์กว่าแล้ว อย่างว่าละครับ เมื่อวิ่งเสร็จ เป้าหมายสำเร็จ ความขึ้เกียจก็เข้ามาแทนที่ นอกจากนี้ อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์แห่งการสอบปลายภาค ซึ่งทั้งมีทั้งกำหนดส่งรายงาน สอนพิเศษ 

ดังนั้น ผมจึงขอสารภาพแบบแมนๆ ว่าผมแทบจะไม่ได้วิ่งเลย เป้าหมายที่เคยตั้งเอาไว้หลังจากวิ่งเสร็จก็เริ่มเลือนลาง ทบทวนเป้าหมายแล้วทบทวนอีก ยืดเป้าหมายออกไปแล้ว ยืดออกไปอีก

ในที่สุด มันก็ถึงเวลาที่ต้องออกมาจากหลุมดำแห่งความสำเร็จอีกครั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
"สึส"

กลับมาอีกครังที่ university of Illinois at Urbana Champaign

ตามธรรมดาที่เมื่อสอบเสร็จ ก็ต้องไปหา... คนรัก ซึ่งเมืองที่ผมจะมาเริ่มต้นใหม่นี้ ผมมาประมาณ 4-5 รอบแล้ว เดินมาจนครบแทบจะทุกซอกทุกมุม และผมก็เคยเขียนถึงไปแล้วอีกด้วย นั่นก็คือเมือง Urbana-Champaign


(2015 Urbana-Champaign) มาที่นี่รอบที่ 1 ล้าน TT

เอลนิญโญ่


ปกติ ที่เมืองแห่งนี้ ในฤดูหนาวประมาณเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวมาก ปีที่แล้วอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ 20 ถึง 30 องศาเซลเซียล นอกจากนี้ยังมีหิมะตกอย่างหนัก หนาขนาดที่ว่ารถวิ่งไม่ได้ ต้องเอาน้ำร้อนมาละลาย เลยทีเดียว


แต่ปีนี้ ผมมาถึงเมืองแห่งนี้ในเดือนธันวาคม แต่ ในปีนี้ (ปี 2016) ประเทศอเมริกาเกิดปรากฎการณ์เอลนิลโญ่ ทำให้อากาศที่ควรจะหนาวมากกลับไม่หนาว หิมะที่ควรจะตกก็ไม่ตก สรุปง่ายๆ ตอนนี้ อากาศกำลังดีมากๆ (-1 ถึงประมาณ 10 องศาเซลเซียล)

อากาศคงเป็นใจให้ผมเริ่มวิ่ง อีกครั้ง
โคดเข้าข้างตัวเอง

(2016 Urbana-Champaign) เริ่มวิ่งอีกครั้ง

เริ่มวิ่ง สิครับ รออะไร


ผมวิ่งไปตามเส้นทางเดิมจากที่วิ่งเมื่อ 4 เดือนก่อน (ก่อนผมกลับไป Seattle) จะต่างก็เพียง บรรยากาศข้างทาง จากในช่วงฤดูร้อนที่ต้นไม้ เขียวขจี กลับเป็นต้นไม่ที่ไม่มีใบเลย รวมทั้ง จำนวนคนที่มาเดินเดิน วิ่งเล่นก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด  


ส่วนแฟนที่น่ารักก็ปั่นจักรยานไล่กวดตามเดิม

อะไร อะไร ก็ไม่พร้อม

แค่วิ่ง 3 กิโลเมตร ก็หอบมากแล้ว จากปกติที่ซ้อมมากกว่า 20 กิโลเมตร เป็นประจำ  นอกจากนี้ แค่วิ่งไปนิดๆ หน่อยๆ ก็ปวดเมื่อย เมื่อขา เมื่อยเข่า จะเป็นจะตาย กลับกลายไปเป็นนักวิ่งมือใหม่อีกครั้ง

ฮ่า ฮ่า ฮ่า 
หัวเราะให้กับความกระจอกของตัวเอง

รองเท้าก็เอากับเขาด้วย

รองเท้าวิ่งประจำกายของผมคือ Asics Nimbus 17 เพื่อนๆ บอกว่าเป็นรองเท้าที่ดีมาก แต่สำหรับผมองเท้าคู่นี้เป็นเหมือนม้าผยศ มันเป็นตัว Top ของ Asics แต่ใส่แล้วผมกลับเจ็บฝ่าเม้ามากๆ ตั้งแต่ตอนที่เข้าร่วมวิ่งมาราทอน ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงเจ็บอยู่ 

ผมเคยเชื่อว่า มันแค่จะยังไม่เข้ากับเท้าเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นรองเท้าใหม่ แต่วันนี้มันกลับมาทำร้ายผมอีกครั้ง 

แต่ผมยังคงเชื่อมั่นในรองเท้าคู่นี้อยู่นะ (แพงน่ะว่อยยย ไม่อยากซื้อใหม่)


(2015 Asics Nimbus 19) 
Source: http://www.zappos.com/images/z/2/9/9/6/7/2/2996723-p-2x.jpg

สุดท้ายผมก็ต้องหยุดวิ่งที่ประมาณ 5 กิโลเมตร
พรุ่งนี้เอาใหม่ เราจะไม่ยอมแพ้ อิอิ

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

First marathon: Seattle Marathon

สักครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องลอง "วิ่งมาราทอน"!!!

วันนี้ (Nov 29) ย้อนกลับไป 1 ปี (2014) เป็นวันที่เข้าร่วม Seattle Marathon เป็นครั้งแรก แต่เป็นการวิ่งระยะสั้นมาก (ขอเรียกว่า ระยะเด็กน้อย) คือ 5 กิโลเมตร  ซึ่งตอนนั้นยังต้อง วิ่งบ้างเดินบ้าง ก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว ดังนั้น 1 ปีที่ผ่านมานี้ จึงพูดได้เต็มปากว่า การวิ่งของผมพัฒนาไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ปีนี้ช่างเป็นปีทองของการวิ่งจริงๆ อิอิ
งานที่ผมเลือกมา Debut ก็คืองาน Seattle Marathon ในเมือง Seattle รัฐ Washington สาเหตุที่ผมเลือกมา Debut ที่นี้ ก็ง่ายๆ ครับ ผมมาเรียนที่นี่ อิอิ เมืองนี้ อยู่ทางตอนเหนืองของประเทศอเมริกา อยู่ฝั่น West Time Zone ของที่นี้ช้ากว่าไทยประมาณ 13-14 ชั่วโมงเอง (ขึ้นอยู่กับฤดู ถ้าเป็นฤดูหนาวทางอเมริกาจะปรับเวลาให้เร็วกว่าเดิม 1 ชั่วโมง) สารภาพแบบลูกผู้ชายครับ ทำไมผมถึงมาเรียนที่นี่ ก็เพราะ ผมเข้าใจว่ารัฐ Washington หมายถึง Washington DC พึงจะรู้ตอนที่ กพ จองตั๋วเครื่องบินมาให้
ผมนี่งงเลย
(2015 Seattle) เมือง Seattle รัฐ Washington (มุมซ้ายครับ) อย่าไปผิดไป DC นะ 555+
สำหรับเส้นทางวิ่งของ Seattle Marathon ก็ง่ายๆ ครับ วิ่งรอบเมืองนั่นเอง อิอิ อย่างไรก็ตามครับ วิ่งที่นี่ค่อนข้างจะดีตรงที่ ปิดถนน ก็คือปิดจริงๆ ไม่มีรถจอดข้างทางหรือต้องหยุดรอให้รถผ่านเลย มันเลยทำให้นักวิ่งรู้สึกปลอดภัย และไม่ต้องกังวล
ในงานวิ่ง เรานักวิ่งเป็นใหญ่ครับ ฮ่าาาาา (มันก็ควรต้องเป็นเช่นนั้น)
(2015 Seattle) เส้นทางวิ่งของ Seattle Marathon
Source: http://www.gannett-cdn.com/












 จากรูป เพื่อนๆ จะเห็นว่า มีการวิ่งข้ามทะเลสาบไปยังเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั่นชื่อว่า Mercer island เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยบ้านราคาแพงมาก เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ในเมืองครับ ที่สำคัญ เกาะแห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของบ้านบุคคลสำคัญของโลกท่านหนึ่ง ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คนที่รวยที่สุดในโลก ลองทายดูสิครับว่าเป็นใคร
ถูกต้องครับ...บิล เกตส์
ว่าด้วยค่าสมัคร 
ปวดใจสุดๆ 
พูดถึงค่าสมัครวิ่ง มันเป็นอะไรที่ปวดใจมากๆ ค่าสมัครที่ USA มันก็ใช้ค่าเงินสกุล US ครับ ค่าสมัครเฉลี่ยประมาณ 100 ครับ ไม่ใช่บาทนะ เหรียญจร้าาา ลองคูณ 35 บาท ดู ก็ตกราวๆ 3,500 บาท เด็กทุนอย่างผม $100 ก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ กพ ให้มาใช้เดือนละ $1,400 ค่าห้องก็ขั้นต่ำ แบบประหยัดสุดๆ ก็ $600-$700 แล้ว
ยิ่งการวิ่งใหญ่ของเมือง หรือของรัฐค่าสมัครจะแพงกว่าปกติครับ เช่น ที่ LA ค่าสมัคร แบบปกติ ก็ เกือยๆ $200 ที่จริงผมก็วางแผนจะไปนะ
แต่ไม่มีเงิน 555+
อย่างไรก็ตาม งานวิ่งต่างๆ มักจะลดราคาค่าวิ่งสำหรับคนที่สมัครเร็ว (ลดไปเยอะเหมือนกันนะครับ) เช่น ถ้าผมสมัคร งานนี้เร็วกว่านี้ 6 เดือน ค่าสมัครผมจะอยู่ที่ประมาณ $80-$90 เท่านั้น สำหรับ คนที่สมัครแล้วกลัวบาดเจ็บ ก็สามารถซื้อประกันเพิ่มในกรณีวมัครแล้วไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ครับ ดังนั้น ทางที่ดี ถ้าจะมาวิ่งที่ USA ต้องวางแผนล่วงหน้า และสมัครให้เร็วครับ 
สำหรับคนที่เพิ่งจะลงวิ่งมาราทอนเป็นครั้งแรก วันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต (ที่จริงคงมีที่ตื่นเต้นมากกว่ามั้ง) ก็ผมเองก็ไม่ได้กะมาเดินเข้าเส้นชัยหรอกนะ เตรียมตัวมาประมาณ 5 เดือน รวมทั้ง จ่ายค่าสมัครที่แพงแสนแพงซึ่งผมไม่ได้ซื้อประกันกรณีที่ไปวิ่งไม่ได้เอาไว้
ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามสาย
(2015 Seattle) ผมพร้อมแล้ว
มันนนนนน หนาวววววววว มากกกกกก
ผมเองเกิดบริเวณแถวๆ เส้นศูนย์สูตร
ผมเก่งกับความร้อน แต่ผมไม่เก่งกับความหนาวเลย  แต่เมื่อมาวิ่งที่นี่ (เมืองที่อยู่ทางด้านหนือของประเทศอเมริกา) ดังนั้นอากาศจึงค่อนข้างโคดดดดดเย็น อุณหภูมิประมาณ 4-6 องศาเซลเซียล มันก็ทรมาณนะครับ แม้จะใส่ชุดวิ่งที่เป็นเสื้อแขนยาว และกางเกงขาว รวมทั้งถุงมือและหมวกไหมพรม แต่มันก็ยังคงหนาวจนถึงขั่วหัวใจ ยิ่งเฉพาะเวลาที่ลมพัด อยู่ดี
ปกติชุดที่ผมใส่ปกติหากไม่วิ่งอย่างน้อยๆ ต้องมีเสื้อ Jacket ที่เป็นเสื้อขนเป็ด แล้วต้องใส่เสื่อไหมพรมข้างไหนอีกชั้นครับ ดังนั้นใครจะมาเที่ยวที่นี่ฤดูหนาว ต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ ครับ
หนาว แต่ก็นะ มันเป็นเมืองที่สวยมาก (Trade off)
(2015 Seattle)
Source: http://centered.org/meetup/seattle/
ขอนิดหนึ่งครับ ตามความเห็นผมนะ เมืองนี้สวยมากครับ ยกเว้น Downtown กับ บริเวณรอบๆ มหาวิทยาลัย University of Washington เนื่องจากเป็นบริเวณที่แอบแออัด คนไร้บ้านเยอะ ซึ่งผมไม่แยะนำให้ไปเดินในช่วงตอนกลางคืนครับ
เพื่อนๆ นักวิ่ง
จากสถิติที่ผ่านมาของประเทศอเมริกา คนทั่วๆ ไปหันมาสนใจเข้าร่วมวิ่งมาราทอนกันเพิ่มมากขึ้นครับ ซึ่งก็สอดคล้องกับ ผู้ที่เข้าร่วมวิ่งงานนี้ เท่าที่สังเกตุด้วยตา และจากการที่พิธีกรถาม ส่วนใหญ่กว่า 80% เคยวิ่งมาแล้วทั้งนั้น แต่ละคนดูแต่งตัวจริงจังมาก วอร์ม กันแบบเป็นกิจลักษณะ
กลัวที่ไหน
ผมแค่สั่นๆ ครับ แต่ก็อย่างว่าละครับ การวิ่ง คือการแข่งกับตัวเอง เป้าหมายการวิ่งครั้งแรกของผมชัดเจนก็แค่ เข้าเส้นชัยให้ได้ ไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับคนอื่นๆ (รอรายการต่อไป ค่อยทำเวลา)
(2015 Seattle) นักวิ่งรายอื่นๆ 
ออกวิ่งสิครับจะรออะไร อิอิ
ใจจริงๆ อยากวิ่งทำความเร็วนะ แต่ผมไม่ไหวจริงๆ ตอนซ้อมลองแล้ว ผมว่าช่วงนรกที่สุดคือช่วงที่ประมาณ 30 km  มันวิ่งก้าวขาก็ไม่ออก หากวิ่งทำความเร็วมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น กลยุทธการวิ่งของผมที่ผมเตรียมมาก็คือ 6 7 8 9 หรือ 6 min/ km ในช่วง 10 กิโลเมตรแรก 7 min/km ในช่วง 10 กิโลเมตรต่อมา 8 min/km ในช่วง 20 ถึง 30 กิโลเมตร จากนั้น ผมคิดว่าผมคงต้องเดิน ด้วยความเร็วประมาณ  9 min/km ในช่วงที่เหลือ
มีหลายๆ คนถามว่าวิ่งความเร็วเท่าไหร่ถึงจะดี ถ้าเอา Boston Qualifier มาเป็นเกณฑ์ คุณต้องวิ่งให้ได้ระยะมาราทอนภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง  5 นาที ครับ หากต้องการที่จะผ่านเกณฑ์ หรือถ้าเป้าหมายคุณต้องการเป็นแชมป๋ รายการปกติ รายการใดรายการหนึ่ง (ที่ไม่ใช่ระกับโลก) ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง หรือ ถ้าต้องการทำลายสถิติโลก ก็ต้องให้ได้ประมาณ 2 ชั่วโมงเองครับ
แหะ แหะ แหะ
และแล้ว เมื่อเสียงปล่อยตัวดังขึ้น ผมไล่กวด Pacer 3 ชั่วโมง 30 นาที ทันที (ทำเก๋า)
(2015 Seattle)
Source: http://isc01.gradimages.com/












เห้ย วิว!! 

ช่วงที่ผมชอบที่สุดในการวิ่งก็คงจะเป็นการได้วิ่งขึ้น Floating bridge สะพานนี้เป็นส่วนหนึ่งของถนน I-90 เพื่อเชื่อมไปยังเกาะ Mercer island 
ต้องบอกเลยครับว่า วิวสวยมาก  หากมองที่ระดับสะพานจะเห็นน้ำในทะเลสาบระดับเดียวกับสะพานเลย เหมือนกับว่าเราวิ่งอยู่บนผิวน้ำก็ไม่ปาน
(2015 Seattle) เราวิ่งข้าม ถนนนี้แหละครับ (I-90) แต่กล้อมผมถ่ายไม่สวย เลยขอใช้รูปนี้แทน







สะพานนี้ ก็เป็นจุดแรกที่ผมเริ่มพัก 555+
แน่นอนครับ วิ่งด้วยความเร็วขนาดนั้น สำหรับนักวิ่งที่เพิ่งจะลงรายการวิ่งมาราทอนครั้งแรก ยังไงก็หมก ดังนั้น 10 กิโลเมตรต่อมา ผมจึงฉลอความเร็วลดลง จนจบระยะ Half marathon ด้วย ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที ซึ่งก่อนเข้าเส้นชัย Pacer 4 ชม ก็เพิ่งจะวิ่งแซงผมไป ตอน 10 นาที ที่แล้ว
(2015 Seattle)
Source: http://cdn.tegna-tv.com/


เมื่อวิ่งผ่านช่วงสะพานออกมา ก็จะเป็นช่วงวิ่งเรียบทะเลสาบ บริเวณนี้หมอกลงค่อนข้างหนา รวมทั้งมีลมกรรโชกค่อนข้างแรง อากาศที่ค่อนข้างหนาว ยิ่งวิ่งริมทะเลสาบ เห็นหมอกลอยเหนือน้ำเลยครับ ลมพัดที่ก็ยิ่งหนาว
(2015 Seattle) หมอกลง
รองเท้าคู่ชีพ ออกฤทธ
สำหรับงานวิ่งงานแรกนี้ ผมได้มีโอกาสใช้รองเท้าวิ่งคู่ใหม่ Asics Nimbus 17 ที่ผมเพิ่งจะซื้อมาก่อนวันวิ่งเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น เนื่องจากวันก่อนวันวิ่งเป็นวันที่เรียกว่า Black Friday เป็นวันที่สินค้าถูกที่สุด ปกติราคา Asics Nimbus 17 จะอยู่ที่เกือบๆ $130 + Tax แต่ ผมซื้อมาในราคาแค่ $80 รวมทุกอย่างแล้ว
ใส่รองเท้าวิ่งที่ไม่เคยใส่ไปวิ่งงานใหญ่ ห้ามทำตามผมนะครับ
รองเท้าคู่ใหม่ของผมก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ เอาจริงๆ ก็โทษรองเท้าไม่ได้หรอก แน่นอนว่าเท้าผมย่อยยังไม่ชินกับรองเท้าคู่นี้
วิ่งไปเจ็บฝ่าเท้าไป
(2015 Seattle) กัดฟันสู่ 10 กิโลเมตร สุดท้าย
การวิ่งย่อมมีมิตรภาพ เพื่อนๆ นักวิ่งเมื่อเห็นเราวิ่งแปลกๆ ก็มักถามสารทุกสุขดิบ หรือมีคนที่วิ่งแล้วเจ็บ คนอื่นๆ ก็มาถาม มาดูแล ตลอด
Pacer มาแว้วว
หลังจากผ่านระยะ Half Marathon  ในช่วงนี้ต้องวิ่งบ้างพักบ้างแล้ว จนมาถึงจุดเตือนระยะทาง 30 กิโลเมตร ซึ่งเขาว่าเป็นช่วงการวิ่งที่โหดที่สุด พลังก็กำลังจะหมด
แมร่งคนถือป้าย Pacer 4.30 ก็วิ่งตามหลังมาแต่ไกล
ผ่าน 30 กิโลเมตรมาแล้ว โดยผมยังวิ่งอยู่ได้เท่ากับว่า ผมทำสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้แล้ว ถ้าเดินอีก 10 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผมก็จะยังคงเข้าเส้นชัยทันตามที่กำหนดที่ 6 ชั่วโมง
ยอมรับแบบแมนๆ เลยครับว่า วินาทีนั้น ต้องเดินแล้ว ถ้าคลานได้คลานไปแล้ว คือวิ่งบนถนนมันต่างจากวิ่งในยิมที่อุณหภูมิค่อนข้างคงที่ อากาศไม่หนาวไม่ร้อน และที่สำคัญพื้นไม่สูงบ้างต่ำบ้าง ณ จุดที่ผมเริ่มเดินนี้ ผมเริ่มเห็นคนจำนวนมาก แซงผมไปเรื่อยๆ
ช่างเขาเถอะ!!!
โค้งสุดท้ายสู่เส้นชัย
5 กิโลเมตร ที่เคยคิดว่าหมู มันไม่หมูนะ
ผมเริ่มหยุดยืนบาง ขามันก้าวไม่ออกจริงๆ ครับ แอบคิดจะยอมแพ้เหมือนกัน มันทรมาณจริงๆ ณ จุดนั้น
ในที่สุด ก็เข้าสู่ช่วง 5 กิโลเมตรสุดท้าย มันคือความมหาโหด ขาที่หมดแรงจนตะคิวจะขึ้น เจอเนินสูงอีกครั้งสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย
ถามว่าเนินสูงสูงแค่ไหน Seattle เป็นเมืองที่อยู่ฝั่งตะวันตกของประเทศอเมริกา ถ้าเรียนภูมิศาสตร์มาจะพบว่าทางนี้เป็นภูเขาหินใหม่ ซึ่งภูเขาหินใหม่ยังไม่ผ่านการกัดกร่อนของดิน มันจึงสูงกว่าภูเขาหินเก่า
วิชาการมาเต็ม แต่ไม่เกี่ยว
(2015 Seattle) นักวิ่งคนอื่นๆ ผมไม่รู้จัก
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ โทรหาแฟนผม คุยไปวิ่งไป มันคงทำให้ลืมเหนื่อย ลืมเจ็บขาได้ดีทีเดียว โดนไถตังซื้อเกมส์ไป $20 สิครับ ค่าคุย แต่ก็คุ้มครับ ผมสามารถลืมความเหนื่อย ความเจ็บขา จนลากสังขารเข้าเส้นชัยได้ ถ้าไม่ได้แฟนที่น่ารัก (โคดๆ) คุยเป็นเพื่อน ผมไม่สามารถเข้าเส้นชัยได้แน่ๆ
(2015 Seattle) ใกล้เส้นชัย
นี่แหละครับ วินาทีเข้าสู่เส้นชัย มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกทั้งหมด ในขณะเดียวความตื่นเต้นที่จะเริ่มคิดถึงงานวิ่งงานใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ไม่รู้ว่าจะให้คำบรรยายยังไงดี ทรมานสุดๆ แต่ตอนเข้าเส้นชัย ดีใจสุดๆ แบบ แทบอยากจะร้องให้เลย ความคิดในหัวตอนนั้นก็ถามตัวเองนะว่า กรูเสียเงินไปทำไม ทรมาณสุดๆ อากาศก็หนาวมาก มาตากลม แต่พอเข้าเส้นชัยเท่านั้น
ทำได้ ทำได้ ทำได้ว่อย มันก็สะใจตัวเองนะที่เราทำได้
(2015 Seattle) ก้าวสู่เส้นชัย

นอกเรื่องละ
สุดท้ายนี้ ผมขอมอบการวิ่งครั้งนี้ ให้กับคนที่ลาก ผมไปซื้อรองเท้าวิ่ง คู่แรก พาไปวิ่งครั้งแรก แต่แม่เจ้าพระคุณดันขี้เกรียจวิ่ง ไม่ค่อยวิ่งไปเสียแล้ว แต่ก็นะ ผมชอบเวลาที่วิ่งกับแม่เจ้าพระคุณของผมที่สุดละ วิ่งไปโดนด่าไป 555+ 

(2015 Seattle) Love story
หลังจากการวิ่งครั้งนี้ ผมตั้งเป้าจะลุยให้ได้ 5 มาราทอน ทั่ว อเมริกา ก่อนกลับไทยขอวิ่งให้ได้ และต้องวิ่งให้เสร็จภายใน 3 ชม เพื่อ Qualify Boston marathon!!!!
 

หน้าตาของเหรียญ เป็นแบบนี้ครับ