วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Running event: The color run 2

Summary Note
Running event: The color run 2014
Website: http://www.thecolorrun.com/seattle/
Date: 2014
Distant: around 5K
Package: T-shirt, medal, and a bag of junks
Cost: $50
City: Seattle, WA, USA
Highlight: Party, Friends, Crazy

Rating: 4.99/ 5 stars

---
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 สำหรับ The Color run
สำหรับนั่งวิ่ง วิ่งระยะไกล (มาราทอน) ก็เหมือนกินข้าว แต่จะให้กินข้าวอย่างเดียว โดยไม่กินขนมเลย ชีวิตก็คงจะจืดชืดไปหน่อย สำหรับผม The Color run ถือเป็นงานวิ่งที่มาทำให้ชิวิตนั่งวิ่งมีสีสันมากขึ้น ซึ่ง ผมเองเป็นแฟนคลับการวิ่ง The color run โดยงานแรกที่ผมเริ่มวิ่งก็คือในปี 2014 ซึ่งผมเคยทำรีวิวอย่างละเอียดมากๆ เอาไว้แล้ว (http://pathwayrunner.blogspot.com/2015/03/10-color-run.html) งานปี 2015 ชื่อ Theme เปลี่ยนเล็กน้อย จาก The color run shine เป็นมาเป็น The color run tropical ทำให้ของแจกก็ต่างออกไปเล็กน้อย เช่นกัน


เหมือนเช่นปี 2014 งาน The color run ที่ผมเข้าร่วมก็เป็นงานที่จัดในเมือง Seattle เส้นทางวิ่ง เหมือนเดิมกับปี 2014 ก็คือวิ่งจาก Space needle ไปยัง Downtown จากนั้นกลับตัวมาจบที่ Space needle ตามเดิม


ฟ้าดินไม่เป็นใจ
(8 พฤษภาคม 2016) ช่วงนี้ เมือง Seattle เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ และเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ก่อนวันวิ่ง 1 อาทิตย์ ทุกๆ วันเป็นวันที่อากาศค่อนข้างร้อน ไม่มีฝนตกเลยแม้แต่นิด ท้องฟ้าปลอดโปร่งสวยงาม ทำให้สามารถมองเห็นไปถึงยอดเขา Mount rainier ได้อย่างชัดเจน


แต่เหมือนฟ้าดินกลั่นแกลง จากที่แดดออก และอากาศร้อน ติดต่อกันมา 1 อาทิตย์ กลับเปลี่ยนเป็นฝนตก รวมทั้งอุณหภูมิลดลงกว่า 10 องศาเซลเซียล ผมถามตัวเองมาตลอดเลยว่า เห้ย มันเกิดอะไรขึ้น!! ยิ่งไปกว่านั้น วันหลังจากที่พวกเราวิ่งเสร็จ ท้องฟ้ากลับมีแดดออก อุณหภูมิกลับเพิ่มขึ้นมาอีก 10 องศา เห้ยๆฟ้าดิน กวนกันนี่หว่า


กลัวที่ไหน
แต่ใครจะกลัวฟ้าดินกันละครับ  ผมและเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ รวมแล้วประมาณ 5 คน นัดเจอกันใน University of Washington เพื่อจะไปยังจุดเริ่มต้นด้วยกัน หนาว ครับ แต่ดูจากสีหน้าแต่ละคนแล้ว คิดว่าคงไม่มีใครยอมแพ้แลัวกลับก่อนแน่ๆ 555+   


จุดเริ่มต้น
สำหรับงาน The color run เราเสียค่าสมัครไปคนละประมาณ $50 หรือ ประมาณ 1500 บาท ถือว่าถูกนะครับเมื่อเทียบกับงานวิ่งที่อเมริกาในระยะเดียวกัน นอกจากนี้ ของที่ผู้จัดจัดให้ใน Package อาทิ เสื้อ Sticker รวมถึงซุ้มกิจกรรม ที่มีขนมและน้ำแจกจำนวนมากถือว่าทำได้ดีมากๆ เลยทีเดียว


หลังจากที่เรากินขนม และแปะ sticker ตามร่างกายเสร็จ เราก็ไปยังจุดปล่อยตัว ที่ไม่ห่างออกไป การปล่อยตัวของงาน The color run จะปล่อยออกไปเป็นรอบๆ เพื่อป้องกันความแออัดในซุ้มเล่นสี ซึ่งผมว่าเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างจะดี


วิ่งสิครับ ก็เรามาวิ่งนิ
เราวิ่งผ่านซุ้มสีต่างๆ จำนวน 5 ซุ้มสี คือผมอยากจะบอกว่า ซุ้มแรกๆ กับซุ้มหลังๆ สีจะเยอะเป็นพิเศษ ในขณะที่่กลางๆ สีค่อนข้างน้อย หากเพื่อนๆ จะมาเพื่อเล่นสีเท่านั้น บริเวณกลางๆ เพื่อนๆ อาจจะเบื่อได้ คนเยอะมากๆ ครับ งาน The Color run จากที่กะประมาณด้วยสายตา คนวิ่งเยอะกว่าที่คิดมากนะครับ

เมื่อวิ่งผ่านเส้นชัย ก็ได้รับเหรียญ ตามธรรมเนียม ปีนี้เหรียญเป็นสีเงินครับ

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Running Event: Tacoma city Marathon

Summary Note
Running event: Tacoma city Marathon
Website: http://www.tacomacitymarathon.com/
Date: May 1, 2016
Distant: Marathon
Package: T-shirt, medal, and a bag of junks, bib with chip
Cost: $80-$150
City: Tacoma, WA, USA
Highlight: Great views!!!! (This is the best view, I have ever seen), great medal
Rating: 4.99/ 5 stars

---
บทนำ
ก่อนอื่นเลย Tacoma marathon ไม่ใช่เป้าหมายแรกที่ผมเลือก เนื่องจาก เสาร์-อาทิตย์นี้ (30 เมษายน และ 1 พฤษภาคม 2016) ที่ประเทศอเมริกาและแคนาดา มีการจัดงานวิ่งที่น่าสนใจจำนวนมาก อาทิ Vancouver marathon ประเทศแคนนาดา ซึ่งเป็นสถานที่วิ่งที่สวยงามติดอันดับโลก และ Champaign marathon งานนี้ เป็นงานที่ผมตั้งไว้ว่าจะไปวิ่งกับแฟนของผม 

แต่สุดท้าย ผมก็เลือก Tacoma marathon แบบงงๆ เหตุผลหลักๆ นะเหรอ มันไปง่ายสุด เดินทางสะดวกสุดนั่นเอง
Source: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbe3bQrilg4-xJpTRVcXV1L3a5Ho2p_lN02FK9VKQxVo8T1BVpihUjKoNu0lF9t4BTKJqJRVaCnTQC8rLMoCny6SLj0yQ5GRDler1d-NUF8jyY-u1vbksK_KrxMxdFJlcLGdX5PYolEERj/s1600/toplogo.jpg
เกริ่นมาขนาดนี้ เพื่อนๆ อาจจะคิดว่า Tacoma marathon มีสักศรีด้อยกว่างานต่างๆ ที่ผม กล่าวมา แต่ไม่ใช่ครับ Tacoma marathon ติดอันดับ 1 ใน 10 งานวิ่งมาราธอนที่เป็นเมืองเล็ก จากเวปไซต์ Runner world ดังนั้น ผมจึงไม่เสียดายที่จะตัดตัวเลือกอื่นๆ มากนัก
http://www.wandering101photography.com/Photography/Panorama/i-ZTPXPJM/1/X2/Panorama%20from%20Tacoma%20General%20Hospital-X2.jpg

ค่าสมัคร
เนื่องจากเป็นงานวิ่งที่ผมได้ เล็งเอาไว้เป็นเวลาค่อนข้างนาน และคิดว่ายังไงต้องไปวิ่งแน่ๆ ดังนั้น การสมัครล่วงหน้าข้ามปี จึงทำให้ผมจ่ายค่าสมัครลดลงไปเยอะ กล่าวคือ ผมจ่ายแค่ เกือบๆ $100 แต่หากสมัครก่อนวันแข๋ง ผมต้องจ่ายค่าสมัครราวๆ $150 แม้ว่าจะถูกลงไปเยอะ แต่ก็ถือว่าค่าสมัครค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับงานวิ่งที่ไทย แต่ถ้าหากเทียบกับงานวิ่งที่อเมริกาแล้วถือว่าปกติครับ


เมื่อจ่ายค่าสมัคร $100 ผู้สมัครจะได้รับ Bib ทีมี Chip จับเวลาทุกคน รวมถึงเสื้อวิ่ง ผมว่าสวยนะ และเนื้อผ้าก็ค่อนข้างดีทีเดียว นอกจากนี้ นักวิ่งจะได้ถุงยังชีพ ที่ในถึงเต็มไปด้วยโฆษณา ดังนั้น เมื่อได้ถุงดังกล่าว ผมหยิบแต่ขนมออกมา (มีประมาณ 2-3 ถุง) จากนั้นก็ทิ้งถุงนั้นวันที่ผมได้รับทันที


การเดินทาง และที่พัก
ผมอาศัยอยู่ในเมือง Seattle รัฐ Washington เมืองที่ผมอาศัยอยู่ อยู่ทางทิศเหนือของเมือง Tacoma หากขับรถจาก Seattle ไปยังเมือง Tacoma จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กว่าๆ แต่ถ้านั่งรถเมล์ ก็กินเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ครับ แม้ว่า การเดินทางจาก Seattle ไป Tacoma โดยรถเมล์ ค่อนข้างสะดวก แต่เนื่องจากงานวิ่งเป็นวันอาทิตย์ และเริ่มออกวิ่งประมาณ 7.00น ผมจึงจำเป็นต้องมาค้างคืนที่ Tacoma เป็นเวลา 1 คืน
(Tacoma 2016) Tacoma อยู่ที่ไหน
เมืองนี้ ถือเป็นเมืองเล็กหากลองเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่ในแถบ West กล่าวคือ Tacoma มีประชากรแค่ 1 ใน 3 ของเมืองเมือง Seattle เอาง่ายๆ ครับถ้าเพื่อนๆ เดินออกมาจากบ้านราวๆ 2 ทุ่ม เพื่อนๆ จะรู้สึกเหมือนกับว่า เห้นนี่เราอยู่ในเมืองร้างนี่หว่า อารมณ์คนละอย่างกับอยู่กรุงเทพเลย ที่แม้จะออกมาตอนตี 2 ก็ยังมีร้านอาหารเปิด ดังนั้น เมื่อผมเดินทางมา ถึง Tacoma ผมจึงต้องรีบตุ้นอาหาร (Subway) เอาไว้กินในวันวิ่ง

เนื่องจาก Tacoma เป็นเมืองเล็ก การจะหา Hostel ราคาถูกนั้น ค่อนข้างจะยาก ดังนั้น ผมแนะนำให้จองห้องพักกับ Aribnb เพราะมีห้องให้เลือกเยอะกว่า และสามารถหาห้องได้ใกล้กับจุดรับส่งกว่าพักโรงแรม (ในราคาที่เท่าๆ กัน) สำหรับผม ผมได้ห้องพักในราคาประมาณ $50 เหรียญ ห้องถือว่ากว้าง และเจ้าของถือว่าบริการได้ดีมากๆ ทีเดียว


รถ Shuttle
ผู้จัดงาน ได้เตรียมรถ Shuttle เอาไว้บริการตั้งแต่เวลา 4:30-6:00น ดังนั้น ผมจึงออกจากบ้าน ประมาณ 4:30น เพื่อหวังว่าจะไปถึงก่อนว่า จะได้ดูบรรยากาศ สนทนากับนักวิ่งคนอื่นๆ บ้าง จากห้องพักที่ผมพัก เดินไปจุดบริการรถ Shuttle ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ถือว่าไม่ไกลมากครับ การเดินบนถนนในช่วงเช้ามืดนั้น ผมก็แอบกลัวๆ อยู่บ้าง เพราะไม่ค่อยเจอผู้คนเดินเลย เพื่อความสบายใจ ผมจึงกด 911 เตรียมไว้ตลอดเผื่อเห็นใครที่ไม่น่าไว้ใจเดินผ่านมา ผมจะได้กดโทรได้ทันที


(2016 Tacoma) นี่แหละครับ รถ Shuttle ในตำนาน
ผมเดินผ่านย่านที่พักอาศัย และใจกลางเมืองย่านธุรกิจ จนมาถึง Tacoma Art museum ซึ่งเป็นจุดบริการ Shuttle เมื่อเดินใกล้ๆ ผมเริ่มเห็นนักวิ่งคนอื่นๆ ทยอยๆ กันมาไม่ขาดสาย และในที่สุดผมก็มาถึงเจ้ารถ Shuttle ผมขอตั้งชื่อมันว่า รถ Shuttle ในตำนาน! เพราะอะไรนะเหรอ เพราะผู้จัดใช้รถรับส่งนักเรียนคันสีเหลืองๆ ที่เราเห็นในหนังฝรั่งนั้นแหละครับ ไม่ได้ไม่ชอบนะ แค่ตะลึงเล็กน้อย อย่างหนึ่งที่ผมต้องขอชมเลย ผมเชื่อว่าไม่ว่านักวิ่งจะมาเยอะขนาดไหนก็ตาม ทุกๆ คนสามารถขึ้นรถ Shuttle ได้หมด เพราะผู้จัดได้เตรียมรถเอาไว้หลายสิบคัน เอาเป็นว่าจอดเรียงกันจนผมมองไม่เห็นปลายแถว


จุด Start
ผู้จัดงาน Tacoma marathon เลือกที่จะใช้จะเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดเป็นคนละจุดกัน  ไม่มีการวนลูป ผมว่าผมจะเคยร่วมงาน 5K หรือ Half-Marathon มาก่อน ทุกครั้งจุดเริ่มต้นและเส้นชัยจะเป็นจุดเกียวกัน ดังนั้น งานนี้ถือเป็นงานแรกที่ต้องนั่ง Shuttle ไป
https://millionweaver.files.wordpress.com/2014/05/2014tacomaracemap.jpg?w=350&h=200&crop=1
ที่จริงรูปนี้เป็นรูปของปี 2014 แต่เส้นทางวิ่งเหมือนเดิมครับ
ผมขึ้นรถ Shuttle ได้ประมาณ 5 นาที รถก็ออกครับ รถขับผ่านใจกลางเมือง ออกนอกเมือง ขึ้นทางด่วน ความรู้จึกตอนนั้น แม้ว่ารถจะขับเร็วพอสมควร แต่ผมอยู่บนรถ Shuttle ประมาณ 20 นาที เห็นจะได้ครับ รู้สึกว่าจุด Start อยู่ห่างออกไปพอสมควรเลยทีเดียว


ยิ่งไปกว่านั้น จุด Start มันทำให้ผมอึ้งไปเล็กน้อย เพราะจุด Start อยู่ในสนามบินครับ บน runway ของสนามบินที่ชื่อว่า Narrow Airport แม้จะไม่ใช่สนามบินที่เป็นสนามบินหลัก หรือมีเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ขึ้นลง แต่จากการที่ผมไปอยู่ตรงนั้น ผมบอกได้เลยว่า มีเครื่องบินขึ้นลงตลอด (ข้างๆ Runway ที่ใช้สำหรับปล่อยตัวนั่นแหละครับ) ว่าแล้ว ผมจึงขออนุญาติถ่ายรูปกับเครื่องบินเป็นที่ระลึกสักหน่อย
(2016 Tacoma) จุดปล่อยตัว
ที่จุด Start ก็มีอาหารแจกครับ แต่อย่าคิดว่ามันจะอุดมสมบูรณ์แบบงานวิ่งที่ไทยนะครับ เพราะที่นี่มีให้แค่กาอแฟ กับขนมปังเท่านั้น ก็ยังดีครับ ดีกว่าไม่มีอะไรกิน แหะ แหะ ยิ่งเช้าๆ อากาศค่อนข้างหน้าวด้วย (ประมาณ 7-8 องศา) กินกาแฟร้อนๆ มันก็ฟินดี


ผมยืนตากลมหนาวอยู่ 2 ชั่วโมงครั้ง ในใจก็ภาวนาในถึงเวลาปล่อยตัววิ่งเร็วๆ เพราะมันหนาวจริงๆ จนในที่สุดพิธีกรก็เริ่มเรียกนักวิ่งมารวมกันเพื่อทำการปล่อยตัวครับ
(2016 Tacoma) จุด Start




วิ่งสิครับ รออะไร
เมือสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น นักวิ่งก็ทยอยออกวิ่ง โดยนั่งวิ่งที่จะวิ่งใน Pace เร็วออกวิ่งก่อน ไล่ไป ตั้งแต่พวกที่จะจบก่อน 3 ชั่วโมง จบ 3 ช้่วโมง ไล่ ไปจนถึงคนที่จะจบ 5 ชั่วโมง งานนี้ เป้าหมายของผมคือการวิ่งโดยไม่หยุด เพื่อความชัวร์ ผมเลยวิ่งตาม Pacer ที่ 4:45 ชั่วโมงครับ เอาจริงๆ นะครับ ผมซ้อมระยะมาราทอน 1-2 ครั้งเอง ก่อนมาวิ่งครั้งนี้


(2015 Tacoma)
ทางวิ่งค่อนข้างสวยเลยทีเดียว เราเริ่มจากวิ่งออกจากสนามบิน ผ่านอุทยานแห่งหนึ่ง จากนั้นมาถึงจุด Highlight หนึ่งของงานวิ่งคือสะพานแขวนขนาดใหญ่ เป็นสะพานที่ผ่านทะเลสาบครับ ฉากหลังของ สะำานแขวนอันนี้ คือภูเขาไฟที่ชื่อว่า Mont rainier อารมณ์เหมือนกับภูเขาไฟฟูจินั่นแหละครับ จากเมืองนี้ สามารถเห็นภูเขาดังกล่าวได้เรียกว่าใกล้ๆ มากๆ เลยทีเดียว


จากนั้น เราวิ่งผ่านย่านเมืองเก่าของ Tacoma ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ แหะ แหะ ก็ Pacer ที่วิ่งด้วยกันทำหน้าที่เป็น Tour guild นะสิครับ แกเล่าเรื่องของเมืองให้ผมฟังมากมาย จากนั้น เราวิ่งเข้าย่านชุมชนที่อยู่อาศัย ตรงนี้ถือว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ (แต่จริงๆ บ้านเมืองเขาก็สวยนะ 555+)


ออกจากชุมชนก็เข้าสู่อุทยานอีกแห่งหนึ่ง ตรงนี้ ผมเคืองมากๆ เพราะทางวิ่งค่อนข้างชันมากๆ ผมจึงต้องชะลอๆ หน่อยๆ


จากนั้นเข้าสู่ Highlight อีกแันหนึ่งก็คือการวิ่งเรียบมหาสมุทรแปรซิฟิก อันนี้สวยมากครับ มันคนละฟิลกับชายหาดเมืองไทยนะ ถ้าถามว่าที่ไหนน่าเล่นน้ำมากกว่าก็ต้องตอบว่าชายหาดเมืองไทย ที่นี่มันจะเป็นอารมมีเรือยอช และเรือเดินสมุทรมาจอดมากกว่า

อีกด้วย ทางผู้วิ่งปิดการจราจรค่อนข้างดีครับ มีตำรวจรวมทั้งอาสาสมัครประจำทุกๆ แยก รวมถึงทางวิ่งมีกรวยกั้นตลอด แต่มีช่วงหนึ่ง ใน่ช่วงที่เข้าอุทยาน มันไม่มีกรวยกันถนน มีแต่เจ้าหน้าที่คอยโบกรถ 

ของกิน

ประมาณทุกๆ 2-3 miles จะมีจุดบริการ ต้องบอกก่อนว่า อาหารการกิน ไม่ค่อยเวิคอย่างแรง โดยมีแค่บางจุดที่มีเจลพลังงาน และเกลือแร่ (หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร) แถมรสชาติก็มีแค่ 2 รส คือรสวนิลา กับ กล้วยสตอเบอรี่ ร้องให้จริงๆ หลักๆ ก็มีแค่น้ำเปล่าแหละครับ ถ้าถามผม ผมว่าเรื่องนี้ควรต้องปรับปรุงที่สุด

ไมล์ แล้ว ไมล์ เล่า
ทุกๆ ไมล์ ที่เราผ่าน เพื่อนๆ นักวิ่งรวมถึงตัวผมเองด้วยจะตะโกนบอก “5th mile” “6th mile” …..”Half way” ผมยังคงวิ่งเกาะ Pacer ไม่ให้คาดสายตา โดยจากกลุ่มคนที่ตาม Pacer นี้ จำนวนมาก ก็ค่อยๆ ทยอยหายไปทีละคนๆ  บางคนวิ่งเร็วขึ้น หลายๆ คนหันไปตาม Pacer ที่ช้าลง ไปๆ มาๆ เหลือผมคนเดียวที่ยังตาม Pacer ท่านนี้อยู่ เราคุยกันตลอดครับ แก่ก็ปรับการวิ่งให้เหมาะสมกับผมมากขึ้น (แต่ก็ยังคอยดูเวลาให้ทัน 4:45 ชั่วโมง นะครับ)
http://www.thenewstribune.com/news/local/8tazz5/picture75016872/ALTERNATES/FREE_640/tac_marathon_1
คือผมก็อยู่ในรูปนี้นะ คนขวามือสุดบังผมหมดเลย TT นี่แหละครับกลุ่มที่ผมเกาะมา



ผมประทับใจ Pacer คนนี้มากๆ แก ให้ความรู้ผมเกี่ยวกับการวิ่ง ให้กำลังใจผม (เพราะผมบอกแกว่างานนี้จะเป็นงานแรกที่ผมวิ่งโดยที่ไม่หยุดให้ได้)


ผมเริ่มหมดแบบจริงๆ ก็ตอน 3 ไมล์สุดท้าย แบบขาก็เกือบจะเป็นตะคิว แขนก็แกว่งจนปวด หายใจเริ่มเร็วขึ้น ผมจำเป็นต้องชะลอความเร็วลงมากๆ จนเกือบจะเดิน แต่ก็นะ ผมก็ไม่เดิน คือมันก็น่าเจ็บใจนะครับ เกือบทำสำเร็จแล้ว แต่ถ้ามาพลาดตอนสุดท้าย ตอนนั้นผมตัดสินใจกัดฟันแบบจริงๆ ตอนนั้นแบบ ตายก็ตาย (แต่ยังไงก็ไม่ตายหรอก จากการเรียนชีวะมา ที่จะตายคือใจตัวเองมากกว่า)


ร่างกายคนเรา มันแข็งแกร่งกว่าที่เราคิดนะ ที่เหมือนมันจะหยุด มันก็ไม่หยุด มันเหมือนจะเจ็บมันก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่ยอมแฟ้มันก็ไปได้อยู่ (แม้ผมจะปรับท่าวิ่งบ้างก็ตาม)


เส้นชัยที่ใกล้เข้ามา
โค้งสุดท้าย ก่อนเข้าเส้นชัย Pacer ตะโกนขึ้นมาว่า “Turn right, finish line is over there” จังหวะนั้น ผมเร่งความเร็วขึ้นอีก เป็นความเร็วที่เรียกว่าเฮือกสุดท้ายจริงๆ จนในที่สุดผมก็เข้าเส้นชัยด้วยเวลาประมาณ 4:45 ชั่วโมง ที่จริงมันเกินมานิดๆ หลักวินาที แต่ผมก็เข้าก่อน Pacer ถือว่าผมทำตามเป้ามหายสำเร็จแล้ว


มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนะ ขอใช้คำว่า “เห้ย” แทนด้วย เห้ย เราทำได้แล้วจริงๆ หรือว่ะ  และอีกความหมายหนึ่งก็คือ เห้ย จบแล้วหรือว่ะ กรูกำลังสนุกมากๆ มีความสุขมากๆ เลย


ผมรับเหรียญที่ระลึกของงานวิ่ง เพื่อนลองดูครับว่ามันสวยขนาดไหน และเพื่อนๆ ลองจินตนาการตามผมครับ ผมวิ่งมาด้วยกำลังใจเฮือกสุดท้ายแล้วผมได้รับเหรียญอันนี้ ผมจะมีความรู้สึกที่ดีขนาดไหน ตอนที่กำลังนั่งเขียนอยู่นี้คิดย้อนกลับไป เขียนไปผมก็ยิ้มไปตลอด :)


(2016 Tacoma) เหรียญ
ปล. 
ของกินหลังงาน ไม่มีอะไรน่าประทับใจครับ ผมกินแค่พิซซ่าไป 4 ชิ้น กับน้ำเปล่าหนึ่งขวดแค่นั้นเอง

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Review: Seattle Marathon VS Tacoma Marathon

ในที่สุด ภาระกิจการวิ่งมาราทอน ที่อเมริกา ก็สำเร็จลุล่วงแล้ว :)) กับมาราทอนไป 3 งาน เอาจริงๆ ขอเป็นแค่ 2 งานดีกว่า เพราะอีกงานหนึ่งเป็นงานที่ไม่อะไรเลย งานวิ่งทั้ง 2 ได้แก่ Seattle Marathon กับ Tacoma Marathon

Seattle Marathon (งานแรกที่ USA)
ถ้าจะเปรียบการวิ่งครั้งแรกที่นี่ ก็คงไม่ต่างกับ หนังสยองขวัญ จบแบบไม่สวย (แต่ก็จบ) ด้วยเวลาวิ่งไปเกือบ 5 ชั่วโมง 20 นาที เข้าบ้วยๆ ไม่พอวิ่งแล้ว เจ็บขา เสร็จเดินไม่ได้ไปอีก 1 อาทิตย์

Tacoma Marathon (งานสุดท้ายก่อนกลับไทย)
ซ้อมมาพอสมควร แมร่งไม่อยากให้เกิดโศกนาตกรรม เหมือนงานแรก งานนี้ ถ้าเปรียบเป็นหนัง ก็คงเป็นหนังเครียด แต่จบแบบ Feel Good แบบมีความสุขมากๆ คือเวลาอาจจะยังไม่ดี ที่ 4 ชั่วโมง 45 นาที แต่โคดสะใจที่วิ่งไม่หยุดแล้วจบได้
อีกอย่างหนึ่งที่อยากเขียนถึงมากๆ ก็คือ Pacer ผมเกาะน้าแกมาตั้งแต่ออกวิ่งเลย น้าแกเฟรนรี่มาก วิ่งๆ ไป แกก็ชวนคุย หลังๆ คนอื่นๆ ที่ตามแกหายหมด เหลือผมเกาะน้าอยู่คนเดียว แกวิ่งรอผมว่อย พอเห็นทางลงแกค่อยชวนผมเร่ง น้าแกแมร่ง จ้างมา $100 ทำงาน $1000 เป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ จริงๆ

Seattle Marathon VS Tacoma Marathon ใครเทพกว่าในรัฐ Washington
ค่าสมัคร

อย่างแรก ค่าสมัคร พอๆ กัน ประมาณ $100-$150 คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 5 พันนิดๆ ถือว่าแพง (ถ้าสมัครเร็ว ราคาก็จะถูกลง) นี่เป็นเหตุผลว่าวิ่งแค่ 2 ครั้ง เอาที่เทพที่สุด ดีกว่าสมัครไปเรื่อยๆ ไปวิ่งแล้วไม่ประทับใจเสียป่าวๆ
สรุป ค่าสมัคร แทบไม่มีความต่างๆ อันนี้ผมถือว่าเสมอกัน

สิ่งอำนวยความสะดวกในเมือง
Seattle เป็นเมืองใหญ่ ถ้าจะมาวิ่งด้วย และเที่ยวด้วย จะสนุกกว่า ในเมืองมีร้านอาหารดีๆ เยอะ ที่ช้อปปิ่งก็มาก ตรงกันข้าม Tacoma เป็นเมืองเล็กๆ โคดเล็ก ผมออกไปหาข้าวกินตอน 20.30 ไม่มีร้านเปิดแล้วอะ
สรุปง่ายๆ Seattle เป็นเมืองที่น่ามาพักผ่อนมากกว่า

สถานที่วิ่ง
Seattle Marathon มี Highlight ตรงที่วิ่งข้าม Floating Bridge หรือ สะพานที่ราบไปกับผิวน้ำ ทางวิ่งเป็นวงกลม กล่าวคือจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นจุดเป็นจุดเดียวกัน นอกจากนี้ การวิ่งผ่านใจกลางเมืองที่สวย มันก็ทำให้จิตใจเบิกบานในระกับหนึ่ง
แต่เดี่ยวนะ Tacoma marathon เด็ดกว่า โหดกว่า ใครจะเชื่อละว่ะว่าคนจัดงานจะไปปล่อยตัวที่สนามบิน บน Runway เลยครับ (คือผู้วิ่งจะต้องนั่งรถที่ทางผู้จัดเตรียมไว้เพื่อไปปสนามบิน ไม่พอคนจัดไม่จัดรถธรรมดาครับ แมร่งจัดรถนักเรียนมาให้นั่ง) โหดสัส
นอกจากนี้ ทางวิ่งวิ่งเรียบมหาสมุทรแปรซิฟิก โดยมี Background เป็นภูเขาที่มียอดเป็นน้ำแข๋ง ผ่านสะพานแขวนที่ผ่านทะเลสาบ โคดโรแมนติก
สรุปง่ายๆ เลย สถานที่วิ่ง Tacoma Marathon กินขาดมากๆ เป็น Scene ที่สวยมากๆ

อาหารการกิน
อันนี้ Seattle Marathon กินขาด คือ เจลที่ให้พลังงาน Seattle Marathon มีให้ตลอดทั้งการวิ่ง แถมไม่พอยังมีหลายรสชาติ เกลือแร่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หยิบมาเททิ้งยังเหลือ (เป็นคำอุปมาเฉยๆ) ไม่พอ หลังวิ่งเสร็จ ยังมีขนมแจกอีกมากมาย กินให้อิ่มได้เลยครับ
สำหรับ Tacoma Marathon อาหารการกิน ไม่ค่อยถูกใจ ตอนเช้ามีแจกแค่กาแฟที่ไม่มีน้ำตาล กับขนมปังทางเนยถั่ว กินไปร้องให้ไป เสียดายค่าสมัครชิบ นอกจากนี้ เจลให้พลังงาน หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร มีแจกอยู่ไม่กี่ Station เอง TT แถมรสชาติก็มีแค่ 2 รส คือรสวนิลา กับ กล้วยสตอเบอรี่ ร้องให้จริงๆ

เหรียญ กับเสื้อ packages
อันนี้ไม่ต้องพูดมาก รูปหนึ่งรูปแทนคำล้านคำ
Tacoma marathon ชนะขาด คือสงสัยพี่แกเอาเงินมาทำเหรียญจนหมด ไม่พอบน Bib ยังมี ชิปจับเวลาให้ด้วย เอาจริงๆ สงสัยว่าที่ไม่มีเงินมาซื้อนำ้ให้คนก็เพราะไม่ลงทุนกับพวกนี้แน่ๆ 5555+ แต่ก็ดี

สรุปง่ายๆ Seattle Marathon สายกิน เที่ยว นอกจากวิ่งก็มีอะไรให้ทำเยอะ
Tacoma Marathon สายวิ่งอลังการ
ถ้าต้องเลือกเพื่อมาวิ่งจริงๆ ผมเลือก Tacoma Marathon
(2016) Seattle กับ Tacoma อันไหนจะเมพกว่ากัน

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

Running Shoe: Short Diary Nike Free 4.0 V 15

"รองเท้าคู่ใหม่ที่ผมได้มาวันนี้ก็คือ Nike รุ่น Free 4 V15"  
ผมเขียนประโยคนี้ตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้ว

จริงๆ ผมว่าจะรีวิวรองเท้าคู่นี้นานมากๆ แล้ว ผมซื้อรองเท้าคู่นี้มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 จนบัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมา3 เดือน ตอนนั้นทำไมผมจึงซื้อ ก็เพราะว่ารองเท้าคู่เก่าของผม Asics Nimbus 17 มัน Support เกินไป เมื่อ Support เยอะน้ำหนักเลยมาก การทำความเร็วจึงค่อนข้างยาก

ผมเลยอยากได้รองเท้าเบาๆ แรงๆ สักคู่เอาไว้วิ่งระยะสั้นเพื่อทำความเร็ว ดังนั้น Nike Free จึงเป็นตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่ง แต่อย่าหวังว่า มันจะ Support เข่าคุณนะ ไม่มีวัน! 

โดยรวม ผมเฉยๆ ค่อนข้างจะไม่ชอบเมื่อใส่วิ่งระยะไกล (เวลาวิ่งผมลงเต็มเท้า) แต่ถ้าใส่เดิน หรือวิ่งระยะไกล้ ซื้อเถอะครับ มันค่อนข้างดีทีเดียว
(2015 Champaign) Nike Free 4.0 v 15


Running Event: Green river half marathon Tukwila, WA

Summary Note
Running event: Green River Half Marathon
Website: http://www.greenrivermarathon.com/results/2016_Green_River_Half_Marathon.html
Date: February 13, 2016
Distant: 13.1 Miles
Package: -
Cost: $10
City: Tukwila, WA
Highlight: Friends, Cheap
Rating: 1/ 5 stars
---
งานนี้เป็นความบังเอิญ เนื่องจากระหว่างที่นั่งๆ หางานวิ่งใน Google ผมก็ได้มาสะดุดตากับงาน Green river half marathon ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดจะวิ่งช่วงนี้เลยจริงๆ  แต่บังเอิญค่าสมัครมันแค่ $10 นะสิครับ ถูกกว่ากินแฮมเบอร์เกอร์กากๆ ที่ MacDonald เสียอีก ดังนั้น ก็สมัครๆ ไปเถอะว่ะ ขี้เกียจก็ไม่ต้องไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เอ่อ ผมก็ไม่รู้จะเริ่มเขียนถึงงานนี้ยังไงน เพราะจะเรียกว่า "งาน" ได้ไหม อื้มๆๆ พูดยาก เอาง่ายๆ ซุ้ม Start ไม่มี พี่แกเปิดท้ายรถเอาคร่าาา ขออฑอบายหน่อย คือผมมาก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ผมหลงทางเลยครับ เดินวนไปวนมาหลายรอบ ถามคนนูนทีคนนี้ที จนในที่สุดก็เจอ ขอบคุณสวรรค์!!

พอเวลาปล่อยตัวมาถึง ไม่ต้องถามหานกหวีด  ใช้โทรโข่งสิคร่าา ที่พีคที่สุดก็คือคนปล่อยตัว พอปล่อยเสร็จแกวิ่งด้วยค่าาาา ถือโทรโข่งวิ่งนำเบย OMG ลูกทุ่งมากๆ (ผมโคดชอบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) ถ้านึกถึงงานวิ่ง ก็ต้องกั้นถนน งานนี้อย่างหวัง! รอไฟแดงเอาคร่าาา แต่ก็ดีที่ต้องข้ามถนนแค่ 2-3 แต่ด็ไม่อันตรายนะ เนื่องจากทางที่จัดงาน เป็นทางวิ่งโดยเฉพาะ

มีจุดแจกน้ำ 1 จุดครับ บริเวณที่กลับตัว ถามว่าพอไหม ก็พอนะ เพราะนักวิ่งส่วนใหญ่มีประสบการณ์การวิ่งค่อนข้างโชกโชน เท่าที่คุยๆ กับนักวิ่งมักจะเคยผ่านการวิ่งมาราทอนมาแล้วทั้งนั้น ตากล้อง ไม่ต้องหา เจ้าหน้าทีแกเอา I phone คอยถ่ายให้อยู่ มันดีอย่างตรงที่ เราสามารถเข้าไปโหลดได้ฟรีๆ ดีมากนะครับ เพราะผมเคยซื้อรูป ตกรูปละ $20 เลยนะ :))

ท้ายที่สุด แน่นอน bib เสื้อและเหรียญไม่ต้องพูดถึง (จะมีเหรอ)

เอาจริงๆ ไม่รู้จะเขียนอะไร แต่รวมๆ แล้วชอบมากๆ ในฐานะคน Local มันดูเป็นกันเองมากๆ เหมือนกับเป็นการสังสรรค์ พูดคุยสำหรับนักวิ่งท้องถิ่น ซึ่งถ้ามีโอกาส ผมจะกลับมาวิ่งอีกแน่ๆแต่ถ้าเป็นคนต่างถิ่น ต่างเมือง มาเพื่อจะวิ่งงานนี้โดยเฉพาะ ผ่านไปครับ 555+
Photo: https://www.flickr.com/photos/92661083@N06/

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

Running event: Cup cake fun run, Arlington wa

Summary Note
Running event: Cup cake Fun Run 2016
Website: http://www.cupcakeruns.com/
Date: March 20, 2014
Distant: 26.2 Miles
Package: Medal
Cost: $25 + application fee
City: Seattle, WA, USA
Highlight: Cup cake, great views and cheap
Rating: 2/ 5 stars
---
มีคำถามหนึ่งที่ผมมักจะถามตัวเองเสมอเมื่อต้องสมัครวิ่ง ก็คือ ทำไมต้องเสียเงินมาวิ่งทั้งๆ ที่ถนน หรือสวนสาธารณะก็วิ่งได้ สำหรับการเข้าร่วมงาน Cup cake Fun Run ผมเสียสมัครโดยให้เหตุผลกับตัวเองว่า ข้อที่หนึ่ง ผมอยากทดสอบตัวเอง เพราะวิ่งคนเดียว พอเหนื่อยก็มักจะขี้เกียจฝืนวิ่งต่อ (เปลี่ยนมาเดิน) และข้อที่สองผมชอบยรรยากาศงานวิ่ง ที่มีคนเยอะๆ มาวิ่งด้วยกัน คือวิ่งแล้วมันไม่เหงาอ่ะนะ
(Arlington WA, Cup Cake Fun run) น่ากินอยู่นะ!!
ว่าด้วยงาน Cup cake Fun Run สักเล็กน้อย งานนี้จัดมาตั้งแต่ปี 2010 เพื่อฉลองวันเกิดให้กับคุณป้าที่ชื่อว่า Tori แกไม่ได้มีความสำคัญมากหรอกครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า คือแกอยากจัด ในปีแรก มีคนมาร่วมวิ่งกับแก 15 คน ต่อมางานก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ วัตถุประสงค์ของงานก็เปลี่ยนไปเป็นการหาเงินไปบริจาคบ้าง โดยในปีนี้ป้าแกจะนำเงินไปซื้อ Lift Van ให้กับน้องคนหนึ่งที่ชื่อ Abby ครับ
(Arlington WA) ขนมแจกเด็กๆ ก็มีนะครับ
งานวิ่งงานนี้ เอาตรงๆ ผมไม่แทบตั้งความหวังว่าต้องประทับใจ หรืออะไรไว้เลย เนื่องจากค่าสมัครค่อนข้างถูกมาก แค่ $25 หรือ ประมาณ 1,300 บาท คือเทียบกับไทยอาจจะดูแพง แต่เมื่อเทียบกับงานวิ่งงานอื่นๆ ในอเมริกา เช่น LA marathon ก็ปาเข้าไป $200 ดังนั้น งานนี้ก็เหมือนกับมาวิ่งฟรีๆ นั่นแหละ นอกจากค่าสมัครที่เหมือนมาวิ่งฟรี สถานที่จัดงานก็ค่อยข้างเป็นชนบทมากๆ เริ่มต้นจากเมือง Seattle (ขนาดเมืองก็ประมาณหัวหิน) ผมนั่งรถเมขึ้นเหนือมา 2 ชั่วโมงกว่า ผ่านทุ่งนา สวนสตอเบอรี่ (มั้ง) และเจอตัวอาปาก้า สัตว์พื้นเมืองของประเทศเปรู ผมถึงกับอุทาย เห้ย นี่มันประเทศอเมริกานะ
(Arlington WA) ลงรถเมล์แล้วต้องเดินต่อไปอีก 20 นาที
เนื่องจากเมืองค่อนข้างชนบทมากๆ รถเมล์จาก Seattle มีมาถึง (บ้าง) ก็จริง แต่นานๆ มันจะมาสักคัน ยิ่งโดยเฉพาะวันอาทิตย์ รถเมล์แต่ละคันห่างกันคร่าวๆ ก็ประมาณ 1 ชั่วโมง และรถเมล์รอบที่เช้าที่สุดมาถึงตอน 9 โมง นอกจากนี้พอลงรถเมล์แล้วยังต้องเดินต่ออีก 20 นาที ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องเริ่มวิ่งช้ากว่าคนอื่นๆ 1 ชั่วโมง มันก็เลยทำให้การวิ่งของผมกร่อยไปบ้าง  (แต่ผม E-mail แจ้งเขาล่วงหน้าแล้วนะ ^^)

ข้อดีของการวิ่งงานนี้ก็คือเจ้าหน้าที่ สตาฟ ที่จุดเริ่มต้น ค่อนข้าง Friendly มากๆ ครับ เห็นผมมาช้าก็เข้ามาดูแล ไม่พอ จำชื่อภาษาไทยของผมได้ด้วย ซื่งมันค่อนข้างจำยากนะ ถือได้ว่าเป็น First impression เลยแหละครับ พี่ๆ เขายังบอกผมด้วยว่าขากลับไม่ต้องเดินไปป้ายรถเมล์ เดี่่ยวขับรถไปส่ง นอกจากนี้ อาหารการกิน ณ จุดเริ่มต้นก็ถือว่าไม่แย่ครับ มีขนมพัชเสิล แห้งๆ ขนมปัง กับน้ำเปล่าแจก (คือมันก็โอเคร สมกับราคามากๆ)
(Arlington WA) (ถ่ายตอนกลับนะครับ) นี่คือจุดปล่อยตัว และเส้นชัย มีแค่นี้แหละครับ
จากนั้นผมก็เริ่มวิ่งครับ วิวสวยมากๆ ลองจินตนาการภาพออกเป็น 3 ระยะ ระยะไกลๆ คิดถึงภาพภูเขาสูงมากๆ ที่มีหิมะตรงยอด (เทืองเขา Rocky) มันสูงมากจริงๆ นะ เพราะตอนที่วิ่งอุณหภูมิ ประมาณ 15 องศาเซลเชียล แต่ยอดเขายังมีน้ำแข็ง ในขณะที่ระยะที่สองคิดถึงป่าสน เขียวๆ ตีนภูเขา และระยะที่สามรอบๆ ตัวเราก็เป็นต้นไม้ที่เพิ่งเริ่มจะผลิดอกกับใบ เป็นอย่างนี้ตลอดการวิ่งครับ มันก็ทำให้จิตใจผ่อนคลายดีทีเดียว

เนื่องจากผมเริ่มวิ่งช้า ไม่พอจำนวนนักวิ่งก็ค่อนข้างน้อง รวมๆ ก็ประมาณ 100 คน (ระยะ Half-marathon Marathon และ 50K) ยังเหงาไม่พอครับจุดแจกนำ้มีทุกๆ 8 กิโลเมตรครับ ฟังไม่ผิดครับ ทุกๆ 8 กิโลเมตร และมีเจ้าหน้าที่คืนคุม 1 คน ยิ่งท้ายๆ เจ้าหน้าที่ก็ไม่อยู่แล้วมีแต่แก้ววางไว้  ดังนั้น ผมจึงเหมือนวิ่งคนเดียว มันเหงามากๆ นะครับตอนวิ่ง มันเป็นชนบท ทางที่คนเดินก็แทบไม่มี ในที่สุดผมก็วิ่งเข้าเส้นชัยไปได้ด้วยเวลา 4 ชั่วโมง 52 นาที ผมโคดดีใจเลยพูดตรงๆ เหมือนอารมตอนโสดๆ แล้วมีคนมาจีบอย่างนั้นเลยครับ ความเหงาได้หมดสิ้นไปแล้ว อ้อลืมไปตอนวิ่งเสร็จเขาจะแจก Cup Cake ด้วยนะ
(Arlington WA) นี่ก็คือเหรียญ เดาว่าเขาทำมาปีเดียว แต่แจกหลายๆ ปี
ถ้าจะให้แนะนำแบบสรุปๆ งานนี้จึงไม่เหมาะกับงานที่จะเป็น First Marathon อย่างยิ่ง ถ้าใครมา Debut งานนี้รับรองว่าเลิกวิ่งตลอดชาติแน่ๆ แต่ถ้าอยากดูบรรยากาศธรรมชาติ (ขอย้ำว่าธรรมชาติสวยงามมากๆ) และไม่อยากเสียค่าสมัครเยอะ ก็มาเถอะครับ ก็คุ้มกับค่าสมัครนะ
(Arlington WA) โดยส่วนตัว ผมว่า ผมก็วิ่งได้ดีขึ้น แม้จะยังไม่ตามเป้าที่ตั้ง

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

Mini review ASICS NIMBUS 17

Mini review Asics Nimbus 17
“Item ของ Knight สาย vit”
(2016 Seattle) Asics Nimbus 17
คุยกันนิดหนึ่งก่อน
ก่อนอื่น Review นี้ทำโดยผมเอง ซึ่งผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรองเท้านะครับ และนี่ก็เป็นรีวิวรองเท้าครั้งแรกของผม ผิดถูกอย่างไรก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเพื่อนๆ เห็นต่าง หรือ เห็นว่าการรีวิวของผมยังขาดความสวยงามอะไรไป ก็ บอกผมได้นะครับ ผมน้อมรับไปปรับปรุงในครั้งหน้า และครั้งต่อๆ ไป


สำหรับโครงสร้างเท้า ผมเป็นคนเท้าปกติ Normal Arch ข้อเท้าเป็นแบบ Stability เวลาวิ่งเน้นลงน้ำหนักที่ผ่าเท้าด้านนอกเป็นหลัก (สังเกตุที่รองเท้าคู่เก่า มักจะสึก ด้านนอกของฝ่าเท้า) น้ำหนักตัวไม่เยอะ (มาตรฐานชายไทย) ประมาณ 61 กิโลกรัม ปกติ วิ่งอาทิตย์ละประมาณ 3-5 ครั้ง อาทิตย์ ละประมาณ 50-70 กิโลเมตร ด้วย Pace เฉลี่ย 5.30-6.00 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง


ผมเคยใส่รองเท้าวิ่งมาแล้วแบบจริงจัง 4 คู่ ได้แก่ Nike Flex 2014, Brooks transence, Asics Nimbus 17 และ คู่สุดท้ายก็คือ Nike Free 4 version 15 จะว่าไป ผมก็เป็นคนใส่รองเท้าค่อนข้างจะพิเรณ นะ เนื่องจากบางคู่เน้นเอาจมูกเท้าลง บางคู่เน้นเอาส้นลง ดังนั้น การรีวิวของผมจะเทียบกับประสบการณ์กับรองเท้ารุ่นเหล่านี้เป็นหลัก


ความทนทาน (เทียบกับราคา) (Str) - 3 เต็ม 5
เอาเป็นเท่าที่ด้วยตา เท่าที่อ่านรีวิวของคนอื่นๆ และใช้มาแล้วประมาณ 1 เดือนกว่า โดยสรุปมันน่าจะทนนะ เนื่องจาก ผ้าที่ใช้ค่อนข้างหนา วัสดุ ค่อนข้างดู สมเป็นตัว Top ตัวหนึ่ง ของ Asics เลยทีเดียว


แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงถึงประมาณ $145 + tax ลองเชคราคาในเวปที่ไทยตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 5,300 บาท ผมคาดหวังว่ามันต้องทนทานในระดับนี้อยู่แล้ว ดังนั้น คงให้คะแนนได้เพียง “สมกับความคาดหวัง”  
การทำความเร็ว (Agi) - 2 เต็ม 5
ถ้าจะใส่วิ่งทำความเร็ว ผมว่ามองผ่านคู่นี้ไปเถอะ เนื่องจาก น้ำหนักที่มากถึงเกือย  400 กรัม (เห้ย เกือบครึ่งกิโลเหมือนกันนะ) น้ำหนักส่วนใหญ่น่าจะมาจากตรงพื้นรองเท้าเป็นหลัก เพราะ ส้นรองเท้า พื้นรองเท้าหนามาก เห็น Asics บอกว่า พื้นรองเท้ารองตั้งหลายชั้น ทั้งพื้นที่เป็น Outsole Midsole ไหนจะเจลอีก ไม่หนักให้ใันรู้ไปสิ


เมื่อเปรียบเทียบกับรองเท้ารุ่นอื่นๆ จะเห็นว่า น้ำหนักต่างกันพอตัวถ้าคิดเป็นเปอร์เซน แต่ถ้าดูเป็นกรับคงไม่มาก อย่างไรก็ตามครับ แม้น้ำหนักต่างกันเพียงไม่มาก ทำให้ก้าวเท้าช้าลงมาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็จริง แต่อย่าลืมครับว่าเนื่องจากการวิ่งมาราทอนเราวิ่งเกือบๆ หมื่นก้าว ดังนั้น การก้าวเท้าช้าย่อมส่งผลต่อเวลารวมอย่างเห็นได้ชัด


อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะ เท่าที่ดูจากการวิ่งของนักวิ่งที่ทำเวลาได้ดีมักจะลงจมูกเท้า แต่ทรงของรองเท้า Asics Nimbus 17 ถูก Design มีให้ gel รองตรงบริเวณจมูกเท้าก็ตาม แต่โดยรวมผมว่ามันเหมาะสำหรับวิ่งลงส้นเท้ามากกว่า ซึ่งตามปกติถ้าผมจะวิ่งทำความเร็ว ผมมักจะลงจมูกเท้า (อันนี้ ผมยอมรับว่าผมไม่รู้จริง)


การป้องกัน (Vit) - 5 เต็ม 5
พื้นรองเท้ารองตั้งหลายชั้น ทั้งพื้นที่เป็น Outsole Midsole ไหนจะเจลอีก ป้องกันไม่ดีก็ให้มันรู้ไปสิ  


Asics เขาโฆษณาเรื่องของ Technology Gel ซึ่งต่างกับ Brand ทั่วๆไปที่เน้นไปที่โฟม อันนี้เป็นจุดขายที่ Asics โฆษณามาตลอด (ไม่รู้ว่าอะไรดีกว่านะ อิอิ ต่างคนต่างความชอบ) โดย รองเท้าคู่นี้อัดเจลไปยัง 2 จุดที่สำคัญก็คือส้นเท้าด้านนอก (ต่างกับ Ascis quantum 360 ที่อัดเจลให้มาทั้งเท้าด้านนอกและเท้าด้านใน)


ดังนั้น จึงเหมาะกับคนที่วิ่งแล้วทิ่งน้ำหนักไปเท้าด้านนอก ซึ่งน่าจะเป็นท่าปกติของการวิ่งนะ (คนที่วิ่งท่าอื่นๆ ควรผ่านรองเท้าคู่นี้ไป ครับ) นอกจากนี้ Asics Nimbus 17 ยังอัดเจลมาให้บริเวณจมูกเท้า (Forefoot) ด้านนอก ดังนั้น คนที่วิ่งแล้วเอาจมูกเท้าลงก็น่าจะยังใช้งานได้ดีครับ  
โดยสรุป มันจะมีอะไรป้องกันได้ดีกว่ารุ่นนี้อีกไหม TT คือป้องกันแบบบ้าพลังมาก ระบบกันกระแทกโหดมาก ถ้าเปรียบเทียบระหว่างรุ่นที่เป็น Minimalist เช่น Nike Free 4 ver 15 หรือ Nike Flex 2014 ที่ผมเคยใส่ อันนี้เห็นแรงกระแทกได้ชัดๆ เลย (ถ้าเอาส้นเท้าลง หรือ กลางเท้าลง) วันต่อมาผมจะปวดเท้าบ้าง แต่ถ้าเป็น Asics คู่นี้ ผมไม่ปวดนะ (วิ่งประมาณ 10-20 กิโลเมตร) ยิ่งตอนที่ไปวิ่งมาราทอนงานแรกมันยิ่งทำให้ผมเห็นได้ชัดเลยว่า วันนั้น ผมเหนื่อยมากๆ ล้าไปทั้งตัว ปวดเมื่อยไปทังตัว ยกเว้นอย่างเดียวที่ผมรู้สึกว่ายังดีอยู่ก็คือ “เข่า”


ลื่น และการทรงตัว  (Dex) - 2 เต็ม 5
ไม่เคยลื่น ขนาดวิ่งในช่วงที่ฝนตก หรือพื้นที่เป็นน้ำแข็ง วิ่งก็ไม่เคยเท้าพลิกนะ แต่นิดหนึ่ง ผมว่าเท้าที่อยู่ในรองเท้ามันไถลนิดหน่อยตอนวิ่ง


ผมใส่ Asics Nimbus 17 ผมรู้สึกว่าตอนวิ่งมันเก้ๆ กังๆ บ้างๆ บางครั้งต้องเกร็ง แต่ผมยังไม่เคยถึงขั้นเท้าพลิกนะ นอกจากนี้ จากการที่ผมใส่รองเท้าที่ป้องกันน้อยมาตลอด เช่น Nike Flex หรือ Nike Free ผมรู้สึกว่ารองเท้ามันสูง มันวางเท้าสบายกว่า


การใส่สบาย (Int) - 3 เต็ม 5
ถ้าไม่ใส่วิ่ง ใส่เดินทั้งวันได้ แต่มันหนักพอสมควร รวมทั้งค่อนข้างร้อน (อันนี้ผมขอไม่ลงความเห็นมาก เพราะผมใส่แค่วิ่ง นานสุดที่ใส่คือ 5 ชั่วโมง ตอนวิ่งมาราทอน ตามที่บอกครับ)


ความสวยงาม และอื่นๆ (Lux) - 2 เต็ม 5
ความเห็นส่วนตัว รวมทั้งอารมล้วน 555+ สำหรับผมโคดไม่ชอบ Design รวมทั้งสีที่ซื้อมา ผมว่าใส่กับชุดอื่นที่ไม่ใช่ชุดวิ่งแล้วมันดูเก่ๆ กังๆ ชอบกล อย่างไรก็ตามครับ ข้อนี้ แล้วแต่ความคิดละกัน


ไม่รู็สิ เมื่อเทียบกับตัวท้อปของรองเท้าประเภทเน้น Support เหมือนกันของญี่ห้ออื่นๆ เช่น Nike air max running 2015 หรือ Brook Glycerin ผมว่า Asics Nimbus 17 ของผมมันไม่ค่อยสวย สีสดๆ ลายแปลกๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ความคิดของผมคนเดียวนะ อิอิ แฟนฟันแท้ Asics อย่าด่าผมนะ -/\-)


โดยสรุป:
ถ้าใส่รองเท้าคู่นี้ ไม่มีอะไรทำ Damage คุณได้แน่นอน 555+

อย่างที่บอกครับ รองเท้าคู่นี้เทพในด้านการป้องกันแบบโคดๆ ดังนั้น ถ้าเป็นนักวิ่งเท้าปกติ ที่วิ่งโดยเอาฝ่าเท้าด้านนอกลง วัตถุประสงค์การวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือใส่ซ้อมวิ่ง มันเป็นอะไรที่เหมาะมาก ถึงมากที่สุด ผมขอเชียร์ขาดใจ แต่ถ้าหากต้องการทำความเร็ว พวกตะกูลสาย Assassin เน้นทำความเร็ว เน้นวิ่งเป็นบางครั้งบางคราว ผมว่าด้วยน้ำหนัก และอุปกรณ์ป้องกันภายใน อาจจะทำให้ความเร็วของคุณช้าลง